วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2560

การทำงานของ Virus กับ Worm ต่างกันอย่างไร

          Virus (ไวรัส) แพร่เชื้อไปติดไฟล์อื่นๆในคอมพิวเตอร์ของคุณโดยการเพิ่มจำนวนตัวมันเองขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ไวรัสต้องส่งตัวเองไปยังคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆได้ต้องอาศัยไฟล์พาหะ เวลาที่ส่ง E-mail โดยแนบเอกสาร หรือไฟล์ที่มีไวรัสไปด้วยการทำสำเนาไฟล์ที่ติดไวรัสไปไว้บนไฟล์เซริฟเวอร์การแลกเปลี่ยนไฟล์โดยใช้แผ่นดิสก์เก็ต เมื่อผู้ใช้ทั่วไปรับไฟล์ หรือดิสก์มาใช้งาน
         Worm (หนอน) โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ถูกออกแบบมาให้สามารถแพร่กระจายตัวเองจากเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง ไปยังอีกเครื่องหนึ่งโดยอาศัยระบบเน็ตเวิร์ค (E-mail) ซึ่งการแพร่กระจายสามารถทำได้ด้วยตัวของมันเอง ซึ่งจะแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วและทำความเสียหายรุนแรงกว่าไวรัสมาก

6 sigma

          Six sigma เป็นการบริหารที่เกิดขึ้นปี พ.ศ. 2533 โดยกลุ่มวิศวกรของบริษัท Motorola ภายใต้การนำของ Dr.Mikel Harry ซึ่งได้เป็นผู้ริเริ่มแนวคิดนี้ และนำมาใช้กับการออกแบบผลิตภัณฑ์ของบริษัทจนประสบความสำเร็จอย่างสูง ต่อมาบริษัทต่าง ๆ ในสหรัฐอเมริกาจึงได้นำแนวคิดการบริหารจัดการแบบ Six sigma เข้ามาใช้ และประสบความสำเร็จสามารถลดค่าใช้จ่ายของบริษัทได้อย่างมาก

          Six sigma คืออะไร

          Six sigma เป็นการบริหารที่มุ่งเน้นในการลดความผิดพลาด ลดความสูญเปล่า และลดการแก้ไขตัวชิ้นงาน และสอนให้พนักงานรู้แนวทางในการทำธุรกิจอย่างมีหลักการ และจะไม่พยายามจัดการกับปัญหาแต่จะพยายามกำจัดปัญหาทิ้ง Six sigma จะดีที่สุดเมื่อทุกคนในองค์การร่วมมือกันตั้งแต่ CEO ไปจนถึงบุคลากรทั่วไปในองค์การ ซึ่ง Six sigma เป็นการรวมกันระหว่างอานุภาพแห่งคน (Power of people) และอานุภาพแห่งกระบวนการ (Process Power) ซึ่งถ้าตัว Six sigma มีค่าสูงหรือมีความผันแปรมากขึ้นเท่าไร ก็เปรียบเสมือนมีการทำข้อผิดพลาดมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งโอกาสที่จะเกิดข้อผิดพลาดตัวนี้เรียกว่า DPMO (Defects Per Million Opportunities)

         Six sigma จึงถูกนำมาใช้เป็นชื่อเรียกของวิธีการปรับปรุงประสิทธิภาพในขบวนการใด ๆ โดยมุ่งเน้นการลดความไม่แน่นอน หรือ Variation และการปรับปรุงขีดความสามารถในการทำงานให้ได้ตามเป้าหมายที่กำหนด เพื่อนำมาซึ่งความพอใจของลูกค้า และผลที่ได้รับสามารถวัดเป็นจำนวนเงินได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มรายได้ หรือลดรายจ่ายก็ตาม

          แนวคิดพื้นฐานของ Six sigma

          การพัฒนาองค์การแบบ six sigma เป็นการพัฒนาที่มุ่งเน้นความเป็นเลิศ ซึ่งได้มีการกำหนดแนวทางในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ด้านการสื่อสาร การสร้างกลยุทธ์ และนโยบาย การกระจายนโยบาย การจูงใจ และการจัดสรรทรัพยากรในองค์การให้เหมาะสม เพื่อให้การปรับปรุงองค์การเป็นไปอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ โดยเน้นการมีส่วนร่วมของพนักงานที่มีความสามารถ มีความตั้งใจที่จะปรับปรุง ต้องได้รับความรู้ที่เพียงพอต่อการปรับปรุง รวมทั้งมีทีมที่มีความสามารถและมีความตั้งใจที่จะปรับปรุง มีทีมที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์สูงคอยให้ความช่วยเหลือสนับสนุน เพื่อให้ความผิดพลาดในการผลิตและการบริการมีน้อยที่สุด แนวความคิดการบริหารปรับปรุงองค์การแบบ six sigma มีความแตกต่างจากแนวความคิดในการบริหารแบบเดิม ที่เน้นการปรับปรุงการทำงานโดยเริ่มจากผู้บริหาร แล้วจึงกระจายให้หน่วยงานต่าง ๆ ในองค์การปรับปรุง โดยขาดระบบการให้คำปรึกษาแนะนำและการช่วยเหลือที่เหมาะสม

          แนวคิดแบบ six sigma

          เน้นให้พนักงานแต่ละคนสร้างผลงานขึ้นมาโดย
  1. การตั้งทีมที่ปรึกษา (Counselling groups) เพื่อให้คำแนะนำพนักงานในการกำหนดแผนปรับปรุงการทำงาน
  2. การให้ทรัพยากรที่จำเป็นต่อการปรับปรุง (Providing resource)
  3. การสนับสนุนแนวความคิดใหม่ ๆ (Encouraging Ideas) เพื่อให้โอกาสพนักงานในการเสนอแนะความคิดเห็นใหม่ๆ
  4. การเน้นให้พนักงานสามารถคิดได้ด้วยตัวเอง (Thinking) เพื่อให้พนักงานสามารถกำหนดหัวข้อการปรับปรุงขึ้นเอง ภายใต้ข้อกำหนดของผู้บริหารองค์การ

          แนวคิดการบริหารองค์การแบบเดิม
  1. ใช้การแก้ปัญหาแบบวันต่อวัน ทักษะในการเรียนรู้ของพนักงานจะเน้นที่การเรียนรู้จาการทำงานจริงเป็นหลัก โดยมีความเชื่อว่าถ้ามีคนเข้าไปดูปัญหาอย่างจริงจังจะสามารถแก้ปัญหาได้ ซึ่งบางครั้งการแก้ปัญหาไม่ได้มาจากการแก้ไขที่สาเหตุแต่ก็สามารถแก้ไขปัญหาได้
  2. ผลของการแก้ไขปัญหาจะต้องหายขาด
  3. คัดเลือกพนักงานที่ทำงานประจำมาทำการแก้ไขปัญหา โดยแก้ไขเฉพาะหน่วยงานของตนเอง ถ้าปัญหาเกิดจากหน่วยงานอื่นก็จะขอร้องให้หน่วยงานนั้น ๆ ทำการแก้ไข
  4. ผู้นำคือผู้ที่สามารถแก้ไขปัญหาในปัจจุบันได้
  5. ใช้ประสบการณ์และความชำนาญเป็นหลักในการปรับปรุง เพราะเห็นผลสำเร็จได้ง่าย
  6. ความรับผิดชอบเป็นหน้าที่ของพนักงานแต่ละคนต้องปฏิบัติ

          แนวคิดการบริหารแบบ six sigma
  1. เน้นสร้างทักษะและการเรียนรู้ให้แก่พนักงานอย่างเป็นระบบ และเข้มงวด รู้ปัญหาและกำหนดเป็นโครงการปรับปรุงทั้งระยะสั้นและระยะยาว
  2. วัดที่ผลการปรับปรุงเป็นหลัก
  3. ใช้ทีมงานที่มีผลประเมินการทำงานดี หรือ ดีเยี่ยม มาทำการปรับปรุงและตัดสินใจให้คนเก่งมีเวลาถึง 100 % เพื่อแก้ปัญหาให้กับองค์การ
  4. สร้างผู้นำโครงการให้เกิดขึ้นในอนาคต
  5. ใช้ข้อมูลเป็นตัวตัดสินใจเท่านั้น
  6. เน้นความรับผิดชอบในการทำโครงการ
  7. การให้คำมั่นสัญญามาจากผู้บริหาร

          หลักการสำคัญของกลยุทธ์ Six sigma

          การบรรลุกลยุทธ์ที่สำคัญของ six sigma ซึ่งเกี่ยวข้องกับขั้นตอน 5 ขั้นตอน ซึ่งประกอบด้วย 
  1. Define
  2. Measure
  3. Analyze
  4. Improve
  5. Control

          1. Define คือ ขั้นตอนการระบุและคัดเลือกหัวข้อเพื่อการดำเนินการตามโครงการ
Six Sigma ในองค์กร โดยมีขั้นตอนการคัดเลือกโครงการ ดังนี้
  • ขั้นตอนที่ 1 โครงการนั้นต้องสอดคล้องกับเป้าหมายหลักขององค์กร (Business Goal)
  • ขั้นตอนที่ 2 มอบหมายให้ฝ่ายต่างๆ ที่เสนอโครงการไปพิจารณาหากลยุทธ์ (Strategy) ในการดำเนินงานที่สอดคล้องกับเป้าหมายหลักขององค์กร (ตามขั้นตอนที่ 1)
  • ขั้นตอนที่ 3 แต่ละฝ่ายนำเสนอกลยุทธ์ในการดำเนินการให้ผู้บริหารทราบ และเมื่อผู้บริหารเห็นชอบแล้ว ให้กลับไปกำหนดพื้นที่ที่จะดำเนินงาน (High Potential Area)
  • ขั้นตอนที่ 4 ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้าย หลังจากกำหนดพื้นที่ที่จะดำเนินการได้แล้ว ให้แต่ละฝ่ายกลับไปพิจารณาหัวข้อย่อยที่จะใช้ในการดำเนินการ
          2. Measure เป็นขั้นตอนการวัดความสามารถของกระบวนการที่เป็นจริงในปัจจุบัน ขั้นตอนการวัดจะแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 5 ขั้นตอน คือ
  • ขั้นตอน Plan Project with Metric คือ การวางแผนและดำเนินการคัดเลือกตัวชี้วัดที่เหมาะสมในการดำเนินการโครงการ
  • ขั้นตอน Baseline Project คือการวัดค่าความสามารถของกระบวนการที่เป็นจริงในปัจจุบัน โดยวัดผ่านตัวชี้วัดต่างๆ ที่เลือกสรรมาจากขั้นตอน Plan Project with Metric
  • ขั้นตอน Consider Lean Tools คือ วิธีการปรับปรุงกระบวนการด้วยการใช้เทคนิคต่างๆ ของวิศวกรรมอุตสาหการ
  • ขั้นตอน Measurement System Analysis (MSA) ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่สำคัญมากเป็นขั้นตอนการตรวจสอบเครื่องมือหรืออุปกรณ์ในการทำงานว่ามีความปกติหรือไม่ก่อนจะลงมือปฏิบัติงาน
  • ขั้นตอน Organization Experience หมายถึง ขั้นการนำประสบการณ์ที่ผ่านมาขององค์กร จะช่วยคิดในการแก้ไขปัญหา
          3. Analyze ขั้นตอนนี้คือการวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาหลัก ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ในเชิงสถิติเพื่อระบุสาเหตุหลักที่ส่งผลโดยตรงต่อปัญหานั้น ซึ่งเรียกสาเหตุหลักนี้ว่า KPIV (Key Process Input Variable) ซึ่งต้องสามารถระบุให้ชัดเจนว่า อะไรคือ KPIV ของปัญหาและต้องสามารถเชื่อมโยงกับ ตัวหลักของกระบวนการ หรือที่เรียกว่า KPOV (Key Process Output Variable) ให้ได้ หลักการสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ การตรวจสอบสมมติฐาน (Hypothesis Testing) ผังการกระจาย (Scattering Diagram) การวิเคราะห์การถดถอย (Regression Analysis) เป็นต้น
          4. Improvement ขั้นตอนนี้คือการปรับตั้งค่าสาเหตุหลัก (KPIV) โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ผลลัพธ์ของกระบวนการเป็นไปตามต้องการ ด้วยการใช้เทคนิคการออกแบบทดลอง(Design of Experiment : DOE) เพื่อปรับตั้งค่าสภาวะต่างๆของกระบวนการให้เป็นไปตามความต้องการ
          5. Control ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนสุดท้าย ซึ่งต้องดำเนินการออกแบบระบบควบคุณคุณภาพของกระบวนการเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่ากระบวนการจะย้อนไปมีปัญหาเหมือนเดิมอีก DMAIC เป็นวิธีการพื้นฐานในกระบวนการ อาจให้คำจำกัดความสั้นๆ ได้ว่า Define: ต้องไม่มีการยอมรับความผิดพลาด Measure : กระบวนการภายนอกที่หาจุดวิกฤตเชิงคุณภาพ Analysis : ทำไมความผิดพลาดจึงเกิดขึ้น Improve : การลดความผิดพลาดที่เกิดขึ้น Control : ต้องควบคุมให้เป็นไปตามเป้าหมาย

          องค์ประกอบสำคัญที่มีบทบาทต่อ six sigma

          โครงสร้างและหน้าที่รับผิดชอบ ของ Six sigma ประกอบด้วย

  1. Champion เป็นชื่อเรียกผู้ที่มีความรับผิดชอบสูงสุดต่อผลสำเร็จในงาน หรือผู้บริหารระดับสูง (Executive-Level Management) สนับสนุนให้เป้ามายของงานสำคัญประสบความสำเร็จ รณรงค์และผลักดันให้เกิดองค์การ six sigma และเกิดกระบวนการปรับปรุงองค์การอย่างต่อเนื่อง ขจัดอุปสรรค ให้รางวัลหรือค่าตอบแทน ตอบปัญหา อนุมัติโครงการ กำหนดวิสัยทัศน์โครงการ สนับสนุนทรัพยากรในด้านบุคลากร งบประมาณ เวลา สถานที่ กำลังใจ และความชัดเจนในหน้าที่ ผลักดันให้มีจำนวน Black Belt และ Green Belt ที่เหมาะสมในองค์การ มีหน้าที่ติดตามความก้าวหน้าของโครงการปรับปรุง ให้สอดคล้องกับเป้าหมายขององค์การ ส่งเสริมและสนับสนุนการสร้างวัฒนธรรมในการปรับปรุงให้เกิดขึ้นในองค์การ โดยอาศัยการสื่อสาร การตั้งคำถามเพื่อย้ำให้เกิดแนวความคิดแบบ six sigma มีการชมเชยและการให้ประกาศนียบัตรแก่พนักงานในองค์การ มีการคัดเลือกโครงการปรับปรุงที่ดีเยี่ยมและการให้รางวัลเมื่อพนักงานปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพ
  2. Six sigma Director มีหน้าที่นำและบริหารองค์การให้สำเร็จบรรลุแนวทาง six sigma ภายในหน่วยงานทางธุรกิจตนเอง เป็นผู้กำหนดแนวทางในการปฏิบัติและนโยบายการดำเนินงานของ six sigma สนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ ที่สำคัญในการกระจายนโยบายให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง
  3. Master Black Belt คือ ผู้ชำนาญการด้านเทคนิค และเครื่องมือสถิติ เป็นผู้มีความรู้และความเชี่ยวชาญในการทำงานเป็นอย่างดี และสามารถถ่ายทอดและให้การอบรมเพื่อสร้างทีม Black Belt และ Green Belt ตลอดการปรับปรุงได้ เป็นผู้ช่วยเลือกโครงการปรับปรุงให้แก่ Champion และเป็นผู้มีความคิดสร้างสรรค์ในการคัดเลือกโครงการปรับปรุง โดยมองในภาพรวมใหญ่ขององค์การ ได้แก่ การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน และการเสนอโครงการปรับปรุงที่เชื่อมโยงกันระหว่างหน่วยงานต่าง เป็นต้น
  4. Black belt คือ ผู้บริหารโครงการ (Project Manager) และผู้ประสานงาน (Facilitator )ได้รับการรับรองว่าเป็นสายดำชั้นครู Black belt เป็นการบ่งบอกถึงระดับความสามารถสูงสุดของนักกีฬายูโด จะทำหน้าที่เป็นหัวหน้าโครงการ บริหารลูกทีมที่มีลักษณะข้ามสายงาน ซึ่งในการบริหาร six sigma จะประกอบไปด้วยการทำโครงการย่อยที่คัดเลือกจากปัญหาที่มีอยู่ในกระบวนการต่าง ๆ ขององค์การ กระจายกลยุทธ์และนโยบายของบริษัทไปยังระดับปฏิบัติการ ผลักดันความคิดของ Champion ให้เกิดขึ้นและให้ความช่วยเหลือ Master Black Belt six sigma Director และ Champion นอกจากนี้ยังเป็นผู้ค้นหาปัญหาและอุปสรรคที่อยู่ในองค์การ และวิเคราะห์หาปัจจัยที่มีความจำเป็นในการทำให้องค์การบรรลุความพึงพอใจของลูกค้า เป็นผู้บริหารโครงการในแต่ละขั้นตอนตามแนวทาง six sigma ประกอบด้วย กระบวนการวัด การวิเคราะห์ การปรับปรุง และการควบคุม โดยให้เกิดการกระจายผลการปรับปรุงไปสู่การปฏิบัติ รายงานความก้าวหน้าของโครงการให้ผู้บริหารระดับสูงทราบ Black Belt จะต้องทำหน้าที่ในการโน้มน้าวทีมงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ คัดเลือกเครื่องมือที่จะนำมาใช้ในการปรับปรุงได้อย่างเหมาะสม เก็บรวบรวมปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับโครงการปรับปรุงจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ภายในองค์การ ทั้งจากพนักงานจนถึงระดับผู้จัดการ สร้างความมั่นใจว่าผลลัพธ์ที่ได้จากการปรับปรุงสามารถคงอยู่ได้ตลอดไป
  5. Green belt คือพนักงานที่ทำหน้าที่โครงการ เป็นผู้ที่รับการรับรองว่ามีความสามารถเทียบเท่านักกีฬายูโดในระดับสายเขียว ซึ่งในการบริหาร six sigma นั้น ผู้ที่ทำหน้าที่เป็น Green belt จะเป็นผู้ช่วยของ Black belt ในการทำงาน ทำหน้าที่ในการปรับปรุงโดยใช้เวลาส่วนหนึ่งของการทำงานปกติ นำวิธีการปรับปรุงตามแนวทาง six sigma ไปใช้ในโครงการได้ สามารถนำเอาแนวความคิดและวิธีการปรับปรุงไปขยายผลต่อในหน่วยงานของตนเองได้
  6. Team Member ในโครงการทุกโครงการจะต้องมีสมาชิกทำงาน 4-6 คน โดยเป็นตัวแทนของคนที่ทำงานในกระบวนการที่อยู่ในขอบข่ายของโครงการส่วนสำคัญที่สุดในการทำ Six sigma คือ โปรเจ็ก แชมเปี้ยน ซึ่งจะมีหน้าที่ในการดูแลให้การสนับสนุน และจัดหางบประมาณที่เพียงพอให้แต่ละ Six sigma และยังคอยสนับสนุน แบล็กเบลต์

          ประโยชน์ในการนำ Six Sigma มาใช้ในองค์การ

  1. สามารถแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างกลยุทธ์ใหม่ให้ธุรกิจ
  2. สามารถลดความสูญเสียโอกาสอย่างมีระบบและรวดเร็วโดยการนำกระบวนการทางสถิติมาใช้
  3. พัฒนาบุคลากรในองค์การให้มีศักยภาพสูงขึ้นตอบสนองต่อกลยุทธ์ได้อย่างรวดเร็ว และปรับองค์การให้เป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization)
  4. ช่วยหารระดับคุณภาพของอุตสาหกรรม โดยสามารถเทียบข้ากลุ่มอุตสาหกรรมได้ (Benchmarking)

Phishing / Pharming

          Phishing คืออะไร
          Phishing (ออกเสียงเหมือน Fishing) คือ กลลวงที่แยบยลทางอินเทอร์เน็ตซึ่งมักมาในรูปแบบของการปลอมแปลงอีเมล หรือข้อความที่สร้างขึ้นเพื่อหลอกให้เหยื่อเปิดเผยข้อมูลทางด้านการเงินหรือข้อมูลส่วนตัวต่างๆ อาทิ หมายเลขบัตรเครดิต หมายเลขประจำตัวผู้ใช้ (User Name) รหัสผ่าน (Password) หมายเลขบัตรประจำตัว

          Phishing สร้างกลลวงอย่างไร
          Phishing สามารถทำได้โดยการส่งอีเมล หรือข้อความที่อ้างว่ามาจากองค์กรต่างๆ ที่ท่านติดต่อด้วย เช่น บริษัทให้บริการอินเทอร์เน็ตหรือธนาคาร โดยส่งข้อความเพื่อขอให้ท่าน "อัพเดท" หรือ "ยืนยัน" ข้อมูลบัญชีของท่าน หากท่านไม่ตอบกลับอีเมลดังกล่าว อาจก่อให้เกิดผลเสียตามมาได้
 เพื่อให้อีเมลปลอมที่ส่งมานั้นดูสมจริง ผู้ส่งอีเมลลวงนี้จะใส่ Hyperlink ที่อีเมล เพื่อให้เหมือนกับ URL ขององค์กรนั้นๆ จริง ซึ่งแท้ที่จริงแล้วมันคือเว็บไซต์ปลอม หรือหน้าต่างที่สร้างขึ้น หรือที่เราเรียกว่า "เว็บไซต์ปลอมแปลง" (Spoofed Website) เมื่อท่านเข้าสู่เว็บไซต์ปลอมเหล่านี้ ท่านอาจถูกล่อลวงให้กรอกข้อมูลส่วนตัวที่จะถูกส่งไปยังผู้สร้างเว็บไซต์ เพื่อนำข้อมูลของท่านไปใช้ เช่น ซื้อสินค้า สมัครบัตรเครดิต หรือแม้แต่ทำสิ่งผิดกฎหมายอื่นๆ ในนามของท่าน 

          ป้องกันตนเองจาก Phishing ได้อย่างไร

          ข้อแนะนำที่จะไม่ทำให้ท่านตกเป็นเหยื่อของกลลวงนี้
  • พึงระวังอีเมลที่ขอให้ท่านกรอกข้อมูลส่วนตัวทางการเงิน ผู้ส่งอีเมลลวงมักจะขอให้ท่านกรอกข้อมูลเช่น รหัสประจำตัว (Username) รหัสผ่าน (Password) หมายเลขบัตรเครดิต โดยส่วนใหญ่มักส่งข้อความที่แสดงความเร่งด่วน หรือผลเสียต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นหากท่านไม่ตอบกลับอีเมลนั้นทันที อีเมลลวงเหล่านี้มักจะไม่ระบุชื่อผู้รับที่เจาะจง ซึ่งต่างจากอีเมลที่ส่งมาจากสถาบันการเงินของท่านที่จะระบุชื่อผู้รับอีเมลอย่างชัดเจน
  • ไม่ควรใช้ลิงก์ในอีเมลเพื่อเข้าไปยังหน้าเว็บไซต์หากท่านสงสัยว่าอีเมลที่ท่านได้รับเป็นอีเมลลวงหรือไม่ ท่านควรติดต่อองค์กรนั้นๆ ทางโทรศัพท์หรือเข้าสู่เว็บไซต์โดยตรงโดยการพิมพ์ URL ใหม่
  • ก่อนการส่งข้อมูลบัตรเครดิต หรือข้อมูลส่วนตัวอื่นๆผ่านทางบราวเซอร์ ท่านควรมั่นใจว่าท่านอยู่ในเว็บไซต์ที่ถูกต้องและปลอดภัย โดนท่านสามารถตรวจสอบที่อยู่ของเว็บไซต์ที่ปลอดภัย ซึ่งจะขึ้นต้นด้วย “https://” ไม่ใช่แค่ “http://”
  • ติดตั้งโปรแกรมต้านไวรัสและอัพเดทอยู่เสมอ เพื่อตรวจสอบหาไฟล์ผิดปกติที่มากับการสื่อสาร ส่วน Firewall ทำหน้าที่ป้องกันการรับอีเมลที่ไม่พึงประสงค์หรือการสื่อสารจากผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาต การติดตั้งโปรแกรมปรับปรุงระบบ (Patch) ก็สามารถป้องกันผู้ลักลอบ (Hacker) หรือผู้ส่งอีเมลปลอมได้
  • ควรเช็คข้อมูลบัญชีบัตรเครดิตและใบแจ้งยอดบัญชีออนไลน์เป็นประจำอย่างน้อยเดือนละครั้ง ท่านอาจจะพบอีเมลหลอกลวงและป้องกันผลเสียที่อาจเกิดขึ้นได้ทันท่วงที

          Pharming คืออะไร

          Pharming เป็นเทคนิคเก่าๆ แต่มีการนำกลับมาใช้ใหม่ โดยจะทำการเปลี่ยนแปลงเว็บที่คุณกำลังเข้าไปยังเว็บไซต์ของผู้ไม่ประสงค์ดี ทั้งนี้ เพื่อหลอกล่อให้คุณใส่ข้อมูลสำคัญๆ ลงไป เช่น User Name, Password หรือโดยเฉพาะข้อมูลบัตรเครติด

          หลักการทำงานของ Pharming

         โดยปกติการเข้าถึงเว็บไซต์ ผู้ใช้งานจะพิมพ์ชื่อเว็บไซต์เช่น www.asianewsupdate.com ลงไป ข้อมูลจะถูกส่งไปยัง Domain Name Server (DNS) เพื่อให้ทำการแปลงค่าเป็น IP Address เพื่อให้สามารถเข้าไปถึงยังเว็บไซต์นั้นๆ และโดยการทำ Pharming ก็จะทำการหลอกให้เปลี่ยนค่า IP Address เป็นของตนเอง และทำให้ผู้ใช้งานเข้าไปยังเว็บไซต์ที่ไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะกับเว็บไซต์ทางด้านการเงิน

          การแก้ไข ป้องกันปัญหาเบื้องต้น

สำหรับเราๆ ก็คงต้องป้องกันด้วยตัวเองไปก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการติดตั้งโปรแกรม anti-virus ที่มีระบบป้องกันที่ครอบคลุมในทุกๆ ด้าน ที่เราเรียกว่า Internet Security ซึ่งมักจะประกอบไปด้วยโปรแกรม Anti-virus, Anti-spam, Anti-spyware รวมทั้งมีระบบ Firewall ด้วย อีกประเด็นก็คงเป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำธุรกิจบนอินเตอร์เน็ต ที่ควรระวังไว้ให้มาก โดยเฉพาะการโอนเงิน อย่างไรก็ตาม เท่าที่ได้รับข้อมูลจากธนาคารหลายๆ แห่ง จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ธนาคารจะไม่มีนโยบายในการส่งเมล์ แจ้งให้ผู้ใช้บริการแจ้งข้อมูลด้านบนเครดิต หรือรหัสผ่านแต่อย่างใด ดังนั้น ถ้าได้รับการติดตั้งไม่ว่าจะเป็นทางอีเมล์ หรือทางโทรศัพท์ แนะนำให้เราโทรศัพท์ไปสอบถามไปยังธนาคารโดยตรงจะปลอดภัยกว่า

White Hacker / Black Hacker

White hat hacker

เป็น Hacker ที่ถูกว่าจ้างโดยบริษัทหรือหน่วยงานรัฐบาล เพื่อคอยค้นหาจุดอ่อนในระบบคอมพิวเตอร์ขององค์กรนั้นๆ แล้วแก้ไขจุดอ่อนดังกล่าวให้หมดไป นั่นก็คือใช้ความรู้ของตนในทางที่ถูกที่ควร เช่น เมื่อเจาะระบบเข้าได้แล้วก็จะแจ้ง bug ไปยังเจ้าของ web site หรือว่าเจ้าของผลิตภัณฑ์นั้น เพื่อหาทางแก้ไข bug นั้น คำศัพท์อีกคำหนึ่งที่เกี่ยวข้องคือ ethical hackerซึ่งหมายถึง Hacker ที่เข้าไปเจาะระบบแล้วแก้ไข bug นั้นให้เลย คนพวกนี้นับว่าเป็นพวกปิดทองหลังพระจริงๆ เพราะว่าไม่มีใครรู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นใคร นอกจากพวกเดียวกัน


            Black hat hacker

หรือ Hacker หมวกดำเป็น hacker ที่เจาะระบบอย่างผิดกฎหมายและสร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นในระบบข้อมูลคอมพิวเตอร์ ซึ่ง hacker ในกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่สร้างความยุ่งยากให้แก่ผู้ที่ดูแลความปลอดภัยของระบบคอมพิวเตอร์เป็นอย่างยิ่ง จะเป็นพวกพรรคมาร คือใช้วิชาในทางที่ผิดเป็นวิชามาร แหล่งชุมนุมพวกนี้คือ web site ต่างๆ แล้ว web site ไม่ว่าจะเป็นvirus script อันตรายๆ ad Aare spy ware โทรจัน software key logger link ที่ไปสู่ software ผิดกฎหมาย รวมทั้ง web site ลามก(ซึ่งอันหลังบางทีไม่ต้องlinkเราก็หาเองเลย )

Cracking

          แคร็กเกอร์ (cracker) คือ ผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจในระบบคล้ายแฮกเกอร์ แต่แคร็กเกอร์มีเจตนาที่จะทำลาย ก่อความเสียหาย ถ้าเป็นการแคล็กซอฟท์แวร์โดยแคร็กเกอร์ ก็จะทำให้ซอฟท์แวร์สูญเสียการป้องกันการติดตั้งที่กำหนดไว้โดยผู้จำหน่าย ทำให้โปรแกรมที่ถูกแคล็กแล้ว นำไปติดตั้งได้โดยไม่ต้องใช้ตัวเลขซีเรียลจากผู้จำหน่าย มีการถกเถียงกันว่าที่จะให้นิยาม ของแฮกเกอร์ใหม่ โดยผู้ที่เข้าไปก่ออาชญากรรม หรือกลุ่มหมวกดำ (Black hats) จะเรียกว่า "แคร็กเกอร์ (cracker)" แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย และมีเจตนาดี จะเรียกว่า "แฮกเกอร์ (hacker)" เพราะกลุ่มผู้ดูแลระบบ หรือผู้ที่มีความชำนาญด้านระบบความปลอดภัย ต้องการนิยามว่าตนเองเป็นกลุ่มหมวกขาว (white hats) เนื่องจากได้ศึกษาเรื่องความปลอดภัย จึงเข้าระบบของคนอื่น ก็เพื่อทดสอบระบบ เข้าไปช่วยเหลือ และให้คำแนะนำในการปรับปรุงระบบ

Hacker

          แฮกเกอร์ (hacker) คือ ผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจในระบบ แล้วพยายามหาวิธีการ หรือหาช่องโหว่ของระบบ เพื่อแอบลักลอบเข้าสู่ระบบ เพื่อล้วงความลับ หรือแอบดูข้อมูลข่าวสาร บางครั้งมีการทำลายข้อมูลข่าวสาร หรือทำความเสียหายให้กับองค์กร เช่น การเปลี่ยนข้อมูลผู้ใช้งานในระบบ หรือการคัดลอกข้อมูลลูกค้าไปเผยแพร่ 

          แฮกเกอร์ (hacker) คือ ผู้ค้นหาจุดอ่อนของเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือเครือข่าย แล้วลักลอบเข้าไปในระบบ เพื่อกระทำการบางอย่างที่ระบบไม่ได้เตรียมป้องกันไว้ ซึ่งมีแรงจูงใจในการกระทำมาจากผลประโยชน์ การประท้วง ท้าทาย หรือช่วยหาจุดบกพร่อง



          ประวัติและผลงานของแฮกเกอร์ชื่อดังของโลก
  1. Johan Helsingius มีนามแฝงว่า Julf เขาเป็นผู้จัดการของ Anonymous Remailer ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกเรียกว่า Penet.fi แต่ในที่สุดเขาก็ปิดกิจการลงในเดือนกันยายน ปี 1996 เนื่องจากตำรวจอ้างว่า Church of Scientology ได้รับความเสิยหายอันเกิดจากการมีคนนำความลับของพวกเขาไปเผยแพร่โดย ปกปิดตัวเองด้วยบริการของ Helsingius Remailer ที่เขาทำ ซึ่งดำเนินงานโดยคอมพิวเตอร์ 486 และ Harddisk 200Mb เพียงเท่านั้นเอง
  2. John Draper มีนามแฝงว่า Cap"n Crunch เขาเป็นผู้ริเริ่มในการใช้หลอดพลาสติกที่อยู่ในกล่องซีเรียลมาทำให้โทรศัพท์ได้โดยไม่ต้องเสียเงิน ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้รับการขนานนามว่า "เจ้าพ่อการแคร็กโทรศัพท์" หรือที่เรียกกกันว่า "phreaking" ตอนที่ยังเป็นวัยรุ่นเขาพยายามทำให้โทรศัพท์คืนเหรียญมาทุกครั้งที่หยอดลงไป เครื่องมือที่เขาชอบใช้คือ whistle (เครื่องเป่า) จากกล่อง Cap"n Crunch cereal โดย whistle ดังกล่าวจะให้กำเนิดคลื่นเสียงขนาด 2600 hertz ซึ่งเพียงพอจะสามารถโทรศัพท์ได้โดยจะต้องใช้ร่วมกับ bluebox (กล่องสีน้ำเงินจะช่วยให้สามารถโทรศัพท์ฟรีได้)
  3. Kevin Mitnick มีนามแฝงว่า "Condor" อาจจะเรียกได้ว่าเป็น cracker ที่มีคนรู้จักมากที่สุดในโลก Mitnik เริ่มต้นด้วยการเป็น phone phreak ตั้งแต่ปีแรกๆ Mitnik สามารถ crack เว็บไซต์ทุกประเภทที่คุณสามารถนึกได้ รวมถึงเว็บไซต์ทางการทหาร บริษัททางการเงิน บริษัทซอฟแวร์ และบริษัททางด้านเทคโนโลยีอื่น ๆ (เมื่อเขาอายุ 10 ขวบ เขาสามารถ Crack เว็บไซต์ของ North American Aerospace Defense Command) เขาถูกจับเพราะเขาดันเจาะ เข้าไปในคอมพิวเตอร์ของผู้เชี่ยวชาญด้านรักษาความปลอกภัย ชาวญี่ปุ่นชื่อ Tsutomu Shimomura ทำให้เอฟบีไอตามล่าตัวเขา และถูกสั่งห้ามใช้ หรือเข้าใกล้คอมพิวเตอร์ ในปัจจุบันเขาออกจากคุกแล้ว เขียนหนังสือความปลอดภัย ด้าน hacker อยู่
  4. Vladimir Levin จบการศึกษามาจาก St. Petersbrurg Tekhnologichesky University นักคณิตศาสตร์คนนี้มีประวัติไม่ค่อยดี จากการที่เข้าไปรวมกลุ่มกับ Cracker ชาวรัสเซียเพื่อทำการปล้น Citibank"s computers ได้เงินมา $10ล้าน ในที่สุดก็ถูกจับโดย Interpol ที่ Heathrow Airport ในปี 1995
  5. Mark Abene หรือที่รู้จักกันดีในนามของ Phiber Optik เขามีพรสวรรค์ในการเรียนรู้เกี่ยวกับระบบโทรศัพท์ค่อนข้างมาก มากเสียจนต้องเข้าไปอยู่ในคุกถึง 1 ปี เนื่องจากพยายามจะส่งข้อความให้เพื่อน Cracker ด้วยกัน แต่ข้อความนั้นโดนจับได้เสียก่อน เด็กคนนี้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าวัยรุ่นมากเนื่องจากฉลาดและบุคลิกดี นิตยสาร New York และแมนฮัตตันคลับถึงกับจัดเขาให้เป็น 1 ใน 100 ของบุคคลที่ฉลาดที่สุดในเมือง เขาเป็นคนที่ชอบรับประทานมันฝรั่งบด (mashed potatoes) จากร้าน KFC เป็นที่สุด
  6. Kevin Poulsen มีความเป็นมาที่คล้ายกับ Mitnik มาก Poulsen ถูกรู้จักกันดีในฐานะที่เขามีความสามารถควบคุมระบบโทรศัพท์ของ Pacific Bell ได้ (ครั้งหนึ่งเขาใช้ความสามารถพิเศษ นี้ชนะการแข่งขันทางวิทยุซึ่งมีรางวัลเป็นรถเปอร์เช่ เขาสามารถควบคุมสายโทรศัพท์ได้ ดังนั้นเขาจึงชนะการแข่งขันครั้งนั้นได้ เขาได้บุกรุกเข้าสู่เว็บไซต์แทบทุกประเภท แต่เขามีความสนใจในข้อมูลที่มีการป้องกันเป็นพิเศษ ต่อมาเขาถูกกักขังเป็นระยะเวลา 5 ปี Poulsen ถูกปล่อยในปี 1996 และกลับตัวในการใช้ชีวิตอย่างเห็นได้ชัด
  7. Robert T.Morris มีชื่อแฝงว่า rtm เขาเป็นลูกชายของหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ใน National Computer Security Center ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ National Security Agency(NSA) เขาจบการศึกษาจาก Cornell University และโด่งดังมาจากที่หนอนอินเทอร์เน็ทแพร่ระบาดในปี 1998 ทำให้คอมพิวเตอร์นับพันต้องติดเขื้อและทำงานล้มเหลว เครื่องมือที่เขาใช้ตอนยังเป็นวัยรุ่น คือ แอคเคาท์ซูเปอร์ยูเซอร์ของเบลล์แลป
  8. Justin Tanner Peterson รู้จักกันในนาม Agent Steal, Peterson อาจเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงอย่างมาก ในเรื่องการ crack บัตรเครดิต ดูเหมือน Peterson จะถูกชักจูงด้วยเงินแทนที่จะเป็นความอยากรู้อยากเห็น เพราะการขาดคุณธรรมประจำใจของเขาเองที่นำหายนะมาสู่เขาและผู้อื่น อย่างเช่น ครั้งหนึ่ง เมื่อเขาโดนจับ เขากลับทิ้งเพื่อนของเขา รวมทั้ง Kevin Poulsen เพื่อเจรจาต่อรองกับ FBI เพื่อที่จะเปิดโปง ทำให้เขาได้รับการปล่อยตัว ต่อมาภายหลังได้หนีไป และก่ออาชญากรรมเช่นเดิม

Wi-Fi


          Wi-Fi คือ องค์กรหนึ่ง ที่ทดสอบผลิตภัณฑ์ Wireless Lan หรือระบบ Network แบบไร้สาย ภายใต้เทคโนโลยีการสื่อสาร ภายใต้มาตราฐาน IEEE 802.11 ว่าอุปกรณ์ทุกตัวซึ่งต่างยี่ห้อกันนั้นมันสามารถติดต่อสื่อสารกันได้โดยไม่มีปัญหา หากว่าอุปกรณ์ตัวนั้นมันผ่านตามมาตราฐานเขาก็จะปั๊ม ตรา Wi-Fi certified ซึ่งเป็นอันรู้กันว่าอุปกรณ์ชิ้นนั้นสามารถติดต่อสื่อสารกับอุปกรณ์ตัวอื่นที่มีตรา Wi-Fi  certified นี้ได้เช่นกัน แต่ทำไปทำมามันกลายเป็นคำศัพท์สำหรับ อุปกรณ์ Lan ไร้สาย ไปโดยปริยาย สามารถติดต่อสื่อสารกับเครื่องตัวอื่นในระบบ Network แบบไร้สายได้ โดยอยู่ภายใต้ มาตราฐานเทคโนโลยี 802.11
          802.11 เป็น เทคโนโลยีมาตราฐานแบบเปิด ซึ่งกำหนดโดย Institute of Electrical and Electronics Engineering (IEEE) โดยเลขหลักตัวหน้า มันจะเหมือนๆกัน แต่ความแตกต่างของเทคโนโลยี จะกำหนดด้วยตัวอักษรด้านหลัง เช่น 802.11b 802.11a 802.11g
          ลำดับมาตรฐานของ Wireless หรือ Wifi
  • ปี 1997 มีการประกาศใช้มาตรฐานตัวแรกคือ IEEE 802.11
  • ปี 1999 มาตรฐาน IEEE 802.11a และ IEE 802.11bประกาศใช้งานอย่างเป็นทางการ
  • ปี 2000 WECA ใช้ชื่อ WIFI แทนคำว่า Wireless Fidelity สำหรับเรียกอุปกรณ์ต่างๆที่รองรับมาตรฐาน IEEE 802.11b และ IEEE 802.11g
  • ปี 2002 IEEE กำหนดขอบเขตมาตรฐาน IEEE 802.11 ให้มีตั้งแต่ 802.11a ถึง 802.11i
  • ปี 2003 มาตรฐาน IEEE 802.11g ประกาศใช้งานอย่างเป็นทางการ
  • ปี 2006 มีการเปิดตัวอุปกรณ์ ที่มีมาตรฐาน 802.11n (Pre-N)แต่ยังไม่ได้การรับรองจาก IEEE
  • ปี 2007 มีการเปิดตัวอุปกรณ์ wireless ที่ใช้มาตรฐาน 802.11n
  • ปี 2009 มีการประกาศมาตรฐาน IEEE 802.11n อย่างเป็นทางการ
          ประโยชน์ของ WIFI มีอะไรบ้าง
          การเชื่อมต่อเครือข่ายไรสายหรือ Wireless LAN นั้นเป็นการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆให้สามารถใช้งานอินเตอร์เน็ตและแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกันมาก โดยประโยชน์ของ WIFI นั้นมีอยู่มากมาย เช่น
  1. ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินระบบเครือข่ายซึ่งปกติแล้วการเชื่อมโยงเครือข่ายนั้นจำเป็นต้องใช้สายนำสัญญาณในการเชื่อมโยงเครือข่าย และต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินสายสัญญาณแต่สำหรับระบบ WIFI ไม่จำเป็นเพราะระบบWIFI จะส่งคลื่นวิทยุผ่านอากาศไปยังเครื่องรับ
  2. มีความยืดหยุ่นในการใช้งานเพราะการใช้งานไวไฟนั้นไม่จำเป็นต้องอยู่กับที่ สามารถเคลื่อนย้ายไปไหนก็ได้ภายในรัศมีของการกระจายสัญญาณ
  3. ใช้มาตรฐาน IEEE 802 ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ยอมรับกันทั่วไปพร้อมกันนั้นอุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับ WIFI ก็มีราคาถูกลงและมีให้เลือกซื้อหาหลายยี่ห้อ
  4. ช่วยส่งเสริมธุรกิจและธุรกรรมทางการเงิน อาทิเช่นการซื้อขายผ่านอินเตอร์เน็ต การทำธุรกรรมผ่านอินเตอร์เน็ต หรือแม้กระทั่งเป็นจุดเด่นของการดำเนินธุรกิจด้านบริการได้อีกด้วย

Wide CDMA

          ประวัติความเป็นมาของ WCDMA
          ยุค 3G (Third generation mobile technology) เป็นยุคที่สร้างระบบใหม่ให้รองรับระบบเก่าได้และเรียกว่า Universal Mobile Telecommunication Systems (UMTS) โดยมุ่งหวังว่า การเข้าถึงเครือข่ายแบบไร้สาย สามารถกระทำได้ด้วยอุปกรณ์หลากหลาย เช่น จากคอมพิวเตอร์ จากเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นระบบยังคงใช้การเข้าช่องสัญญาณเป็นแบบ CDMA ซึ่งสามารถบรรจุช่องสัญญาณเสียงได้มากกว่า แต่ใช้แบบแถบกว้าง(wideband) ในระบบนี้จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า WCDMA
          3G เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารซึ่งถ้าจะจำกัดความโดยแปลตรงๆจากชื่อเลย ก็คือเป็นเทคโนโลยียุคที่ 3 (Third Generation) ซึ่งยุคที่ 3 ที่ว่านี้จะเป็นยุคที่มุ่งไปในทางการรวมเอาเทคโนโลยีหลายๆด้านมาไว้ด้วยกัน อย่างเช่น โทรศัพท์มือถือ 3G ก็จะเป็นในแง่การรวมเอา เทคโนโลยีเสียงมาใช้ร่วมกับเทคโนโลยีด้านการส่งและนำเสนอข้อมูล แล้วนำไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนในด้านระบบนั้นเน้นการใช้ระบบ CDMA - Code Division Multiple Access และระบบอื่นๆที่กำลังปรับเปลี่ยนเข้าสู่ระบบ IMT2000
        WCDMA พัฒนามาจาก GSM (Global System for Mobile Communications) CDMA (Code-Division Multiple Access) และ TDMA (Time Division Multiple Access) ซึ่งทำให้ขยายแถบช่องสัญญาณได้ มากและ กว้างขึ้น ปัจจุบันแพร่หลายในอเมริกาซึ่งพัฒนาระบบ 2G ไปเป็น EDGEEnhance Data Rate for GSMซึ่งเป็นอีกก้าวที่นำไปสู่ 3G WCDMA จึงมีความเหมือนกับระบบ GSM อยู่บ้าง แต่จากการพัฒนาทำให้WCDMA มีความแตกต่างจาก GSM ในส่วนของการใช้งาน และการให้บริการที่รวดเร็วกว่า

          WCDMA (Wideband Code Division Multiple Access)
          WCDMA เป็นเทคโนโลยี CDMA ที่มีข้อกำหนดตามข้อตกลงที่กำหนดของ ITU และเป็นที่รู้จักอย่างเป็นทางการในชื่อว่า IMT-2000 WCDMA เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารระบบไร้สายในยุคที่ 3 มีประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูลแบบไร้สายผ่านโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์ไร้สายความเร็วสูง โดยมีประสิทธิภาพการทำงานเหนือกว่าเทคโนโลยีทั่วไป เป็นอุตสาหกรรมโทรศัพท์ไร้สาย ที่มีความก้าวหน้ามากที่สุดและมีความสลับซับซ้อนของ Air Interface ผู้วิจารณ์ส่วนใหญ่มีความเชื่อว่า WCDMA จะเป็นเทคโนโลยีจะเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานของโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่ 3 Air Interface ของ W-CDMA เป็นส่วนหนึ่งของสถาปัตยกรรมโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่ 3 ได้จัดเตรียมการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ ของผู้ใช้งานกับโครงข่ายหลัก 
     ในทศวรรษที่ผ่านมาระบบการสื่อสารแบบไร้สายมีความเจริญเติบโตเป็นอย่างมาก ซึ่งมีการเพิ่มขึ้นของผู้ใช้บริการ และปริมาณการสื่อสาร ความต้องการ Bandwidth ที่สูง เช่น gaming music downloads video streaming จากความต้องการนี้จึงมีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ Wideband CDMA (WCDMA)
  WCDMA คือ การพัฒนาเพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ Real Time Multimedia รวมไปถึงการใช้International Roaming ซึ่งรองรับจาก ITU (International Telecommunication Union) โดยกำหนดให้ใช้ความถี่ 2 GHz สำหรับการสื่อสารยุคที่ 3 WCDMA มีประสิทธิภาพในการสื่อสารรับส่งสัญญาณเสียงภาพข้อมูลและภาพวิดีโอด้วยความเร็วถึง 2 เมกกะบิตต่อวินาที แต่สำหรับการให้บริการในปัจจุบันให้ความเร็วสูงสุดที่ 384 กิโลบิตต่อวินาที (แนวกว้าง wide area access) โดยสัญญาณขาเข้าจะถูกแปรเป็นสัญญาณดิจิตอลและส่งไปเป็นรหัสผ่านแถบสัญญาณกระจายไปสู่คลื่นสัญญาณต่างๆ  ผู้ให้บริการ เทคโนโลยีนี้จะใช้แถบคลื่นสัญญาณความถี่ที่ 5 MHz ที่ต่างจากผู้บริการที่ให้บริการเทคโนโลยี CDMA ในย่านความถี่แคบที่ใช้ช่องสัญญาณที่ 1.25 MHz
 
วิวัฒนาการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในแง่เทคโนโลยี ตลาด และสินค้า-บริการ
Year
Technology evolution
Market evolution
Products and services
1890s-1910s
Wireless telephony
Maritime
AM, FM radio
1920s-1970s
Pre-cellular
Emergency services
Defense markets
AM, FM radio
1983-1991 
1G
Industrial markets
Analog cellular
1991-2001
2G

Business markets
Mass markets
Digital cellular
2001-present 
3G
Worldwide consumer
Mass markets
Digital/multimedia
cellular



  
          สถาปัตยกรรม WCDMA

รูปที่ 1 GSM Base Station Subsystem (BSS) และ WCDMA Radio Access Network (RAN)

          จากรูปที่ 1 GSM Base Station Subsystem (BSS) และ WCDMA Radio Access Network (RAN) จะเป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อระหว่าง Core Network กับโทรศัพท์มือถือ จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีนี้สามารถจะใช้ช่องทางในการสื่อสารร่วมกันในส่วนของ Core Network นอกจากนั้นแล้วระบบ GSM BSS และWCDMA RAN อยู่ภายใต้โครงสร้างพื้นฐานของ Cellular radio system จะเห็นได้ว่า GSM Base station Controller (BSC) จะเหมือนกับ Radio Network Controller (RNC) คือหน่วยควบคุมความถี่ Network และGSM Base Transceiver Station (BTS) ซึ่งทำหน้าที่รับส่งสัญญาณกับเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ จะเหมือนกับ WCDMA Radio Base Station (RBS)ในการเชื่อมต่อของ WCDMA มีการพัฒนามาจากระบบ GSM ซึ่งจะมีความแตกต่างในรูปแบบของการบริการ โดยจะเห็นได้ว่าระบบ GSM BSS จะมีการเชื่อมระหว่างHandset กับ BTS ได้จุดเดียวและเชื่อมผ่าน BSC ไปยัง Core Network ในขณะที่ระบบ WCDMA RAN จะมีการเชื่อมระหว่างHandset กับ RBS ได้หลายจุด (Base station) และระหว่าง RNC ก็สามารถเชื่อมต่อกันได้เพื่อเป็นการ Share Traffic ในการรับ-ส่งข้อมูล โดยในแต่ละเส้นทางของการเชื่อมต่อก็จะมีความเร็วที่สูงกว่า ทำให้การรับ-ส่งข้อมูลทำได้รวดเร็วกว่าระบบ GSM เป็นอย่างมาก
รูปที่ 2 การเชื่อมต่อของระบบ WCDMA RAN

          ความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดของระบบ GSM และ WCDMA ก็คือ ระบบ GSM จะมีการจัดการ ผู้ใช้หลายคนโดยใช้เทคโนโลยี TDMA (Time Division Multiple Access) ซึ่งจะมีการแบ่ง Timeslots ในแต่ละช่วงความถี่ออกไปเพื่อให้ผู้ใช้โทรศัพท์สามารถใช้งานได้พร้อมกัน แต่ WCDMA นั้นเป็นการใช้เทคโนโลยีCDMA (Code Division Multiple Access) ซึ่งจะถูกจัดการโดย Hardware และส่วนควบคุมโดยผู้ใช้แต่ละคนจะมีการแบ่งแยกกันโดยรหัส CDMA คือ เทคโนโลยีเพื่อการเข้าถึงจากผู้ใช้หลายๆ คน โดยจะแบ่งแยกกันด้วยรหัส นั่นคือผู้ใช้ทุกคนสามารถใช้ความถี่เดียวกันในการส่งข้อมูลภายใต้เวลาเดียวกันเป็นการพัฒนาที่รวดเร็วในการจัดการสัญญาณ ซึ่งเทคโนโลยีที่รองรับการใช้งานแบบนี้ ก็คือ WCDMA และ CDMA2000 WCDMA มีพื้นฐานมาจากเทคโนโลยี CDMA ซึ่งเป็น wide band radio signal ที่มีความถี่ 5 MHzโดยมีความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูล 3.84 Mbps จะเห็นได้ว่าเร็วกว่า CDMA2000 (1.22 Mbps) ถึง เท่า
รูปที่ 3 การส่งข้อมูลใน WCDMA โดยการใช้ Spread Spectrum

          หลักการพื้นฐานของ Spread Spectrum communication คือ การใช้ bandwidth ที่สูง เนื่องจากการมีbandwidth ที่ใหญ่จะทำให้ความหนาแน่นของคลื่นต่ำไปด้วย โดยจะทำการแบ่งแยกคลื่นและข้อมูลต่างๆ ของผู้ใช้แต่ละคนด้วยรหัส (code division multiple access)


รูปที่4 Difference between regular CDMA and W-CDMA

          จากรูปจะเห็นได้ว่า WCDMA ซึ่งมี bandwidth ที่กว้าง ทำให้สามารถส่งข้อมูล เช่น voice, data,videoไปพร้อมๆ กันได้ ในขณะที่ CDMA ไม่สามารถทำได้เนื่องจากมี bandwidth ที่แคบกว่า 


          ประโยชน์ของการส่งข้อมูลแบบ Wideband ด้วยความเร็วสูง 
  1. สามารถรองรับ bit rate ที่สูงกว่า
  2. การส่งข้อมูลสามารถทำได้ดีกว่า เร็วกว่า และยืดหยุ่นกว่า
  3. สมรรถภาพของระยะคลื่น (spectrum)ในการใช้สายโทรศัพท์ดีขึ้น
  4. คุณภาพของการบริการดีขึ้น (Higher QoS [Quality of Service คือ คุณภาพของบริการ])
  5. การออกแบบของเทคโนโลยีนี้สามารถให้บริการได้พร้อมกันและในเวลาเดียวกัน ซึ่งทำให้การบริการมีคุณภาพมากขึ้น
  6. เป็นเทคโนโลยีที่สามารถใช้กันได้ทั่วโลก

          ความสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่ให้บริการ กับความจุ ของระบบ WCDMA

          ในระบบ GSM ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ถ้าพิจารณาถึงเรื่องพื้นที่ให้บริการกับความจุ จะไม่ขึ้นต่อกันมากนัก โดยพื้นที่ให้บริการนั้นจะขึ้นอยู่กับความแรงของสัญญาณ ระดับของสัญญาณ interference และรวมถึงค่า sensivity ในส่วนของความจุนั้น จะขึ้นอยู่กับจำนวน ช่องสัญญาณที่ระบบมีใช้งานอยู่ซึ่งจะแตกต่างจากระบบ WCDMA โดยพื้นที่ให้บริการกับความจุทางด้าน downlink จะขึ้นอยู่ต่อกัน คือเมื่อภายใน cell มีจำนวนผู้ใช้งานมากขึ้น จะทำให้พื้นที่ให้บริการลดน้อยลง ถ้าพิจารณาในเรื่องกำลังส่ง (power) ของระบบWCDMA ผู้ใช้งานทั้งหมดภายใน cell จะใช้ กำลังส่งของสถานีฐานร่วมกัน เมื่อมีผู้ใช้งานมากขึ้น เนื่องจากกำลังส่งที่มีอยู่จำกัด จึงเสมือนว่าพื้นที่การให้บริการถูกทำให้ลดขนาดลง นั่นคือเราสามารถสังเกตได้ว่า ความจุของระบบจะขึ้นอยู่กับระยะทางของผู้ใช้งาน รวมถึงพื้นที่การให้บริการด้วย โดยปกติแล้วระบบWCDMA จะมีขีดจำกัดในเรื่องของกำลังส่งจากสถานีฐาน ไปยังเครื่องลูกข่าย


          เปรียบเทียบระหว่าง Uplink กับ Downlink
          ในระบบ WCDMA เงื่อนไขทางด้าน uplink ค่อนข้างจะมีความแตกต่างไปจาก downlink เนื่องจาก ผู้ใช้งานแต่ละคนใช้เครื่องลูกข่ายของตัวเอง ไม่มีการใช้กำลังส่งร่วมกัน ดังนั้นความจุกับพื้นที่การใช้งานไม่มีผลต่อกัน ยกเว้นในเรื่องของสัญญาณรบกวน อันเนื่องมาจากจำนวนผู้ใช้งานมากขึ้น ซึ่งจะมีผลกระทบในทางลบ ทำให้ทั้งความจุและพื้นที่ให้บริการลดลง ดังนั้นการให้บริการภายในอาคารโดยเฉพาะ มีข้อดีสำหรับทางด้าน uplink คือสัญญาณ interference ที่มาจาก cell อื่นจะลดน้อยลงนั่นหมายความว่าเราจะได้ความจุมากขึ้น หรือพูดอีกนัยหนึ่งว่า รองรับจำนวนผู้ใช้งานได้มากขึ้นเมื่อเทียบกับ macro cell เดิม 

          การส่งข้อมูลความเร็วสูงต้องการกำลังส่งที่มากกว่า

          การบริการของระบบ WCDMA จะถูกกำหนดด้วยกำลังส่ง ทั้งทางด้าน uplink และ downlink การส่งข้อมูลความเร็วสูงต้องการกำลังส่งที่มาจากทั้งสถานีฐานและเครื่องลูกข่ายมากกว่า การส่งข้อมูลความเร็ว ต่ำ โดยทั่วไปแล้วการส่งข้อมูลความเร็วสูงจะใช้งานอยู่กับที่ ส่วนใหญ่จะใช้งานอยู่ภายในอาคาร

          การลดโหลดของ Macro cell

          ถ้าผู้ใช้งานส่วนใหญ่ใช้งานในส่วนที่เราทำการจัดไว้ให้ภายในอาคารโดยเฉพาะ จะมีผลทำให้macro cellใช้กำลังส่งน้อยลงกว่าเดิมเมื่อเทียบกับบริการเดียวกัน นั่นหมายถึง macro cell สามารถรองรับจำนวนผู้ใช้งานได้มากขึ้น ความจุที่เพิ่มขึ้นนี้จะเพิ่มมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับว่าผู้ที่ใช้งานอยู่ตำแหน่งใดของภายในอาคาร โดยทั่วไปแล้วความจุของระบบจะเพิ่มมากที่สุด เมื่อผู้ใช้งานอยู่ตรง บริเวณขอบปลายของ cell ความจุของระบบ WCDMA จะขึ้นอยู่กับ กำลังส่งสำหรับผู้ใช้งานภายใน cell นั้น และระดับของสัญญาณ interferenceที่มาจาก cell อื่น การแยก cell ออกมา จะทำให้ระดับของสัญญาณinterference ที่เกิดขึ้นลดน้อยลง ผนัง กำแพงหรือว่าโครงสร้างอื่นๆ ภายในอาคาร จะเป็นส่วนช่วยป้องกันสัญญาณ interference ที่มาจาก cell อื่น โดยทั่วไปแล้วการแยก cell ออกมาสำหรับพื้นที่ภายในอาคารโดยเฉพาะจะให้ความจุมากกว่า แบบที่ไม่ได้ทำการแยก cell ประมาณ 2-3 เท่า

          ข้อดีเมื่อโครงข่ายมีโหลดมากขึ้น

          ในช่วงเริ่มต้นโดยทั่วไปจะมีการใช้งานยังไม่มากนัก เนื่องจากผู้ใช้งานยังน้อยอยู่เมื่อมีการใช้งานมากขึ้น ระบบ WCDMA จะมีขีดจำกัดทางด้าน downlink ดังนั้นข้อดีของการแยกพื้นที่ให้บริการภายในอาคารจะทำให้ได้พื้นที่บริการมากขึ้น เนื่องมาจากโหลดของ macro cell ลดลง เทียบกับระบบที่ไม่มีการแยกพื้นที่ให้บริการภายในอาคาร ตำแหน่งของผู้ใช้งานจะมีผลต่อกำลังส่งที่ต้องใช้เนื่องจาก path loss มีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก ดังนั้นผู้ให้บริการจะต้องมีการ เตรียมกำลังส่งเผื่อไว้ (margin) เป็นจำนวนมากให้พอเพียงกับการใช้งาน แต่ถ้ามีการแยกพื้นที่ให้ บริการภายในอาคารแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องเตรียมกำลังส่งเผื่อไว้ สำหรับเทคโนโลยี HSDPA (High Speed Downlink Packet Access) การใช้งานของระบบHSDPA ก็จะคล้ายๆ กับระบบ WCDMA ดังนั้น การแยกพื้นที่ให้บริการภายในอาคารจะมีประโยชน์อย่างมาก

          โครงข่ายโทรศัพท์เซลลูลาร์

          เพื่อที่จะเข้าใจถึงคุณสมบัติของ W-CDMA มันมีค่ายิ่งในความทรงจำ ถึงการติดต่อสื่อสารโทรศัพท์เซลลูลาร์ว่าทำงานอย่างไร ที่ยิ่งไปกว่านั้น การใช้งานเครื่องส่งวิทยุที่มีกำลังส่งจำนวนน้อยที่สุดนั้น ควรจะเตรียมบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ที่จำกัดจำนวนลูกค้ามาก บนพื้นที่ให้บริการขนาดใหญ่การติดต่อสื่อสารโทรศัพท์เซลลูลาร์ ได้แบ่งพื้นที่การให้บริการ ไปสู่เซลล์จำนวนมาก ที่รองรับ โดยมีกำลังส่งต่ำ และตัวควบคุมที่เราเรียกว่า สถานีฐาน (Base Station) นั่นหมายความว่า ผู้ให้บริการสามารถที่จะนำความถี่ ที่ได้รับการจัดสรรที่มีราคาแพง นำกลับมาใช้งานใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับจำนวนของเซลล์ ที่พวกเขาได้สร้างขึ้นมา บนโครงข่ายของพวกเขา ลักษณะอาการของการนำกลับมาใช้งานใหม่เป็นแฟคเตอร์หนึ่ง ที่แตกต่างกับเทคโนโลยีโทรศัพท์เซลลูลาร์หลายชนิดในระดับล่างนั้นคือ การเข้าถึงโทรศัพท์เซลลูลาร์สามารถเลือกผู้ให้บริการเพื่อเตรียมบริการที่มากกว่าไปสู่ประชาชนจำนวนมาก

          HSPA (High-Speed Packet Access)

          เทคโนโลยี HSPA (High-Speed Packet Access) ถูกพัฒนามาจาก UMTS (WCDMA) HSPA เป็นPacket หรือ Protocol ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเพิ่มความสามารถในการส่งข้อมูลHSPA มีสองมาตรฐานคือHSDPA (High Speed Downlink Packet Access) และ HSUPA (High Speed Uplink Packet Access) แต่เฉพาะ HSDPA เท่านั้นที่ถูกนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์ เนื่องจากปกติแล้วผู้ใช้งานเน้นไปทางดาว์นโหลดมากกว่า
 
          HSDPA (High Speed Downlink Packet Access)

   HSDPA (High Speed Downlink Packet Access) คือเทคโนโลยีซึ่งเพิ่มประสิทธิภาพข้อมูลใน downlinkให้แก่โอปเปอเรเตอร์บรอดแบนด์ไร้สาย และก่อให้เกิดการให้บริการข้อมูลยุคหน้า ในปัจจุบันเทคโนโลยีนี้ได้ถูกใช้อย่างแพร่หลายโดยโอปเปอเรเตอร์ทั่วโลกผนวกกับประสิทธิภาพข้อมูลสูงใน downlink ด้วยอัตรารับส่งข้อมูลสูงสุดกับความจุระบบที่เพิ่มขึ้น ประสิทธิภาพ latency ต่ำที่เพิ่มประสิทธิภาพขึ้นอย่างมาก รวมทั้งการเชื่อมต่อกับงบประมาณที่ดีขึ้นและพื้นที่ครอบคลุมมากขึ้น รวมทั้งศักยภาพประสิทธิภาพสูงของเซลล์ HSDPA คือ ช่องสัญญาณข้อมูล Packet ความเร็วสูง downlink ใหม่ ที่ถูกแนะนำว่าเป็นส่วนหนึ่งของRelease 5 ซึ่งเป็นส่วนขยายต่อของเทคโนโลยี WCDMA ซึ่งเป็นส่วนบนสุดของช่องสัญญาณปกติของWCDMA สื่อสัญญาณ Release 5 ได้รับการออกแบบเพื่อสนับสนุนผู้ใช้ HSDPA หรืออย่างทางเลือกที่HSDPA สามารถถูกใช้โดยเฉพาะในสื่อสัญญาณของตนเองเป็นเทคโนโลยีในการสื่อสารข้อมูลที่รวดเร็วกว่า EDGE ภายใต้เครือข่ายแบบ UMTS เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งผ่านข้อมูลที่รวดเร็วและเพิ่มช่วงกว้างของข้อมูลมากขึ้น โดยในปัจจุบันเทคโนโลยี HSDPA รองรับความสามารถในการส่งผ่านข้อมูล 1.8เม็กกะบิทต่อวินาที, 3.6 เม็กกะบิทต่อวินาที , 7.2 เม็กกะบิทต่อวินาที และ Down Link ความเร็ว 14.4 เม็กกะบิท (การเชื่อมต่อ EDGE จะมีหน่วยวัดความเร็วเป็น “ กิโลไบต์ต่อวินาที ” ส่วน HSDPA จะมีความเร็วในระดับ “ เม็กกะบิต ต่อวินาที” เลยทีเดียว) เรียกได้ว่าเร็วกว่า EDGE ปัจจุบัน HSDPA รองรับการส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงถึง 1.8 – 14.4 Mbps มีผู้ให้บริการ HSDPA ในต่างประเทศบางรายให้บริการดาว์นโหลดข้อมูลสูงถึง 30 GB ต่อเดือน หรือ 300 นาทีของโทรทัศน์ผ่านโทรศัพท์มือถือ และ HSDPA ยังถูกพัฒนาต่อไปเป็น HSPA Evolved ที่สามารถส่งข้อมูลได้ถึง 42 Mbps
          HSDPA ใช้ WCDMA เพื่อยกระดับประสิทธิภาพใหม่ที่สามารถสนับสนุนแอพพลิเคชั่นบรอดแบนด์ได้เพิ่มขึ้นกับ latencies ที่ต่ำลง ระยะเวลาการดีเลย์ที่สั้นกว่าและเวลาโต้ตอบของเครือข่ายที่เร็วขึ้นและ QoSที่ดีกว่าสำหรับข้อมูล


รูปที่ 6 โครงสร้างของเครือข่าย HSDPA


          HSUPA (High Speed Uplink Packet Access)

          HSUPA (High Speed Uplink Packet Access) เป็นโหมดมาตรฐานใน Release 6 ที่เพิ่มประสิทธิภาพของ HSDPA สู่ Uplink แนะนำช่องสัญญาณทางกายภาพใหม่ที่เรียกว่า Enhanced Dedicated Channel (E-DCH) ซึ่งสำคัญในการก่อให้เกิดชุดของการส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพ uplink สูงสุด HSUPA รวบรวมความคิดและหลักการที่คล้ายกับ HSDPA
          HSUPA จะทำให้อัตรารับส่งข้อมูลได้สูงสุดถึง 5.76 Mbps และเกือบจะสองเท่าของความจุและประสบความสำเร็จอย่างมากในการปรับปรุงอัตราความเร็วข้อมูลของผู้ใช้ เทคนิคเพิ่มเติม HSUPA ยังลดระยะเวลาดีเลย์แพ็คเก็ตอย่างมาก สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมของ QoS สำหรับการใช้ทรัพยากรระบบuplink ที่ดีขึ้น HSUPA ทำให้การควบคุมทรัพยากร air link ของ Node B ดีขึ้นรวมทั้งการกำหนดรายการที่รวดเร็วสำหรับการปรับปรุง uplink มากที่คล้ายกับ HSDPA ใน downlink HSUPA ที่เพิ่มประสิทธิภาพuplink นอกเหนือไปจากโหมด HSDPA ที่ใช้เทคโนโลยีWCDMA เพื่อทำงานด้วยกันในระดับใหม่ ในการให้บริการที่ดีสุดของบรอดแบนด์ไร้สาย การรวมเข้าด้วยกันของ HSDPA และ HSUPA ซึ่งถูกกำหนดเป็นHSPA ได้ให้การสนับสนุนที่ดีกว่าสำหรับแอพพลิเคชั่นที่ไวต่อการดีเลย์ อาทิเช่น VoIP, Video telephonyและแอพพลิเคชั่นเกมมากมาย HSPA ได้เพิ่มประสบการณ์ที่ดีอย่างมากแก่ผู้ใช้ในการใช้ uplink และแอพพลิเคชั่นต่างๆ อาทิเช่น การส่งไฟล์งานและการส่งวีดีโอและรูปภาพ อนาคตของ HSPA จะถูกพัฒนาไปเป็น HSOPA ที่สามารถส่งข้อมูลด้วยความเร็วในการดาวน์โหลดสูงถึง 100 Mbps และอัพโหลด 50 Mbpsหรือที่เรียกว่า Super 3G แต่ HSOPA ไม่ได้ใช้เทคโนโลยี WCDMA

          การวิเคราะห์เปรียบเทียบ WCDMA&HSPA

          ตารางแสดงการเปรียบเทียบความเร็วการรับ-ส่งข้อมูลของเทคโนโลยีเครือข่ายไร้สาย


CDMA2000 1x EVO-DO
CDMA 2000 1x
WCDMA
GPRS
EDGE
Average Speed
355-600 kbps
50-90 kbps
300-500 kbps
10-35 kbps
40-50 kbps
Peak Speed
2.4 Mbps
153.6 kbps
1.8-2 Mbps
171.2 kbps
384 kbps

          เทคโนโลยี HSPA (High Speed Packet Access) เป็นการพัฒนาทางเทคนิคที่ต่อยอดและช่วยเพิ่มขยายศักยภาพในการให้บริการของเครือข่าย UMTS/WCDMA เพื่อตอบรับความต้องการในการสื่อสารแบบบรอดแบนด์ไร้สาย เทคโนโลยี HSPA มีความโดดเด่นกว่า Wi-MAXซึ่งเป็นเทคโนโลยีทางเลือกในทุกแง่มุมไม่ว่าจะเป็นความพร้อมเข้าสู่ตลาด ความสะดวกในการบริหารจัดการประสิทธิภาพของพื้นที่ให้บริการ ประสิทธิภาพในการใช้งานย่านความถี่วิทยุ และความประหยัดในแง่ของต้นทุน HSPA ช่วยให้ผู้ประกอบการเครือข่ายสื่อสารไร้สาย สามารถบริหารจัดการต้นทุนในการให้บริการบรอดแบนด์ไร้สายได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เทคโนโลยี HSPA ให้ความสำคัญกับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ใช้บริการทั่วไป รวมถึงมีการผลักดันความพร้อมของเครื่องลูกข่ายเพื่อร่วมกันสร้างประสบการณ์สื่อสารแบบบรอดแบนด์ไร้สาย ซึ่งเดิมเป็นจริงได้เฉพาะในเครือข่ายแบบมีสาย
    นอกจากนั้นเทคโนโลยี HSPA ยังสนับสนุนการสื่อสารได้ในขณะเคลื่อนที่ และผู้ใช้งานสามารถทำการสื่อสารได้ในทุกพื้นที่เทคโนโลยี HSPA ถือเป็นทางเลือกที่ถูกต้องและเหมาะสมที่สุดสำหรับการให้บริการบรอดแบนด์ไร้สายด้วยเหตุผลเรื่องประโยชน์สูงสุดจากความประหยัดในเชิงปริมาณ ( Economies of scale)ซึ่งเกิดจากปริมาณผู้ใช้งานจำนวนมากที่รองรับด้วยมาตรฐานเทคโนโลยีในสายตระกูล 3 GPP (Third Generation Partnership Program) ซึ่งปัจจุบันรองรับผู้ใช้บริการทั่วโลก ความเร็วในการสื่อสารที่สูงถึง 14 เมกะบิตต่อวินาทีในระยะแรก และจะพัฒนาขึ้นเป็น 42 เมกะบิตต่อวินาทีในระยะถัดไปช่วยรองรับและทำให้เกิดการพัฒนาบริการเสริมชนิดใหม่ๆ ที่น่าสนใจ ประสิทธิภาพในเชิงเทคนิค ช่วยเพิ่มขนาดพื้นที่ให้บริการทั้งในเขตเมืองและต่างจังหวัด ซึ่งผู้ให้บริการสามารถสร้างสถานีฐานรองรับพื้นที่ให้บริการขนาด 200 กิโลเมตร โดยที่ยังรักษาความเร็วในการสื่อสารบริเวณขอบพื้นที่เครือข่ายได้ด้วยความเร็วถึง 2 เมกะบิตต่อวินาที นอกจากนี้ยังมีแผนการพัฒนาเทคโนโลยีที่ชัดเจนและดำเนินการได้ง่าย โดยไม่มีความยุ่งยาก ผลการคำนวณภาระการให้บริการสำหรับเทคโนโลยี HSDPA (High Speed Downlink Packet Access) ซึ่งเป็นพัฒนาขั้นแรกก่อนจะมาเป็น HSPA พบว่าเทคโนโลยีดังกล่าวคุ้มค่าต่อการลงทุนของผู้ให้บริการ โดยสามารถรองรับการส่งข้อมูลขนาด 30 กิกะไบต์ ร่วมกับการรับชมภาพยนตร์ความยาวกว่า 400 นาทีผ่านเครือข่าย และรองรับการใช้โทรศัพท์พูดคุยอีก 1,000 นาทีต่อเดือน โดยไม่จำกัดตัวผู้ใช้บริการหรือพื้นที่ใช้งานในแง่การให้บริการเชิงพาณิชย์ บริษัท AT&T หรือเดิมชื่อบริษัท Cingular Wireless ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ได้มีการเปิดให้บริการบรอดแบนด์ไร้สายด้วยเทคโนโลยีHSDPA อย่างจริงจังเป็นครั้งแรกของโลกตั้งแต่ ปี 2548 โดยถือเป็นพัฒนาขั้นต่อเนื่องจากการให้บริการสื่อสารด้วยเทคโนโลยี EDGE และมีการขยายขอบเขตของบริการอย่างรวดเร็วจนครอบคลุม 100 เมืองหลักทั่วประเทศใน ปี 2549 ด้วยความเร็วในการส่งข้อมูลจากสถานีฐานไปยังอุปกรณ์รับสัญญาณ (Downlink) 1.8 เมกะบิตต่อวินาที ซึ่งนับว่าสูงกว่าความเร็วมาตรฐานในระบบ WCDMA ทำให้ AT&T สามารถเปิดให้บริการใหม่ๆ อย่างโทรทัศน์ผ่านโทรศัพท์มือถือ ( Mobile TV) และอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ และที่สำคัญยังเป็นการเพิ่มรายได้เฉลี่ยเลขหมายหัวรวมถึงเพิ่มความภักดีต่อลูกค้า ทั้งนี้รายได้เฉลี่ยต่อเลขหมาย ( Data ARPU) เพิ่มขึ้นอีก 53% ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2549 ขณะที่อัตราการย้ายค่ายผู้ให้บริการลดลงจาก 2.4% ในไตรมาสที่ 2 ของ ปี 2547 ไปเป็น 1.8% ใน ไตรมาสที่ 4 ของปี 2549 จากความสำเร็จดังกล่าวAT&T ยังมุ่งหน้าที่จะพัฒนาศักยภาพของเครือข่ายต่อไป ด้วยการพัฒนาเครือข่ายไปสู่เทคโนโลยี HSUPA (High Speed uplink Packet Access) ที่จะช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งข้อมูลจากอุปกรณ์ไปยังสถานีฐาน (Uplink) ให้สูงมากขึ้น ซึ่งเมื่อมีการพัฒนาเครือข่ายสำเร็จ จะส่งผลทำให้ผู้ใช้บริการสามารถส่งแฟ้มข้อมูลขนาดใหญ่ผ่านอีเมลได้ พร้อมๆ กับการเปิดตลาดสื่อสารไร้สายในภาคองค์กร การเพิ่มความเร็วในการส่งข้อมูลนี้ยังช่วยสร้างธุรกิจใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเผยแพร่แลกเปลี่ยนข้อมูลโดยตัวผู้ใช้บริการเอง เช่น การส่งวิดีโอที่ถ่ายทำกันเองผ่านเครื่องลูกข่ายโทรศัพท์มือถือ 3 G เพื่อเก็บหรือแสดงผ่านระบบเว็บพอร์ทัลของAT&T ยังวางแผนที่จะเพิ่มความเร็วในการรับข้อมูลจาก 1.8 เมกะบิตต่อวินาที ไปเป็น 3.6 เมกะบิตต่อวินาที ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับอุปกรณ์รับ-ส่งสัญญาณ และยังเป็นการรุกในเชิงการตลาด ปัจจุบันความเร็วเฉลี่ยที่เครือข่าย HSDPA สามารถให้บริการอยู่ในช่วง 400 – 700 กิโลบิตต่อวินาที ถือว่าสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ในระดับหนึ่ง การตัดสินใจเลือกลงทุนในเทคโนโลยีHSDPA ช่วยให้ AT&T เปิดให้บริการสื่อสารไร้สายความเร็วสูงที่มีคุณภาพดีรองรับข้อมูลที่หลากหลาย นอกจากนั้นการใช้ประโยชน์จากช่องสัญญาณความถี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็มีผลทำให้ต้นทุนและการกำหนดอัตราค่าบริการด้านสื่อสารข้อมูลไร้สายเป็นไปอย่างเหมาะสมและสามารถแข่งขันได้ เครือข่าย 3 G HSDPA ของ AT&Tนับตั้งแต่วันเปิดให้บริการจึงมีประสิทธิภาพทั้งในเชิงเทคนิคและเศรษฐศาสตร์เทคโนโลยี HSPA จึงมีประโยชน์อย่างมากในการให้บริการบรอดแบนด์ไร้สาย ผู้ให้บริการเครือข่ายรวมถึงผู้ใช้บริการทั่วโลก มีสิทธิที่จะเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมที่สุดเพื่อให้และใช้บริการบรอดแบนด์ไร้สายโดยการเปรียบเทียบที่เป็นธรรม การตัดสินใจอาจขึ้นอยู่กับปัจจัยเชิงพาณิชย์หรืออาจต้องเกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมในบางประเทศ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่การตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมจะต้องพิจารณาถึงคุณประโยชน์ต่อผู้บริโภคเป็นสำคัญ