วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ระบบบริหารและจัดการคลังสินค้า ( Order Fulfillment )

          ระบบบริหารและจัดการคลังสินค้า (Order Fulfillment) เป็นระบบการจัดการเกี่ยวกับสินค้า โดยเชื่อมโยงการจัดการคลังสินค้า และการจัดส่ง เข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อการปฏิบัติงานที่คล่องตัวรวดเร็ว ลดค่าใช้จ่าย เพิ่มความรวดเร็วและประสิทธิภาพในการให้บริการขนส่งสินค้า

          ประโยชน์ที่ได้รับ (Benefits)

  1. การสร้างประโยชน์สูงสุดจากพื้นที่คลังสินค้า (Optimize warehouse space)
  2. สร้างความคล่องตัวให้กับการปฏิบัติงานและเพิ่มประสิทธิผล (Streamline operations and increase productivity)
  3. ปรับปรุงบริการขนส่งให้ดีขึ้น (Improve logistics services)
  4. กำหนดสิทธิในการอนุมัติรายการในระบบ
  5. ได้รับประโยชน์จากความยืดหยุ่นและต้นทุนที่มีประสิทธิภาพเพื่อการเติบโต (Gain flexibility and cost effective for growth)


          ความสามารถของระบบ

  1. การจัดการคลังสินค้า (Warehouse Management)
  2. สามารถเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกันระบบสั่งสินค้า
  3. สามารถควบคุมและวิเคราะห์การปฏิบัติงานภายในคลังสินค้า
  4. กำหนดเส้นทางภายในคลังสินค้า บันทึกข้อมูลพนักงานหยิบสินค้า ช่วงเวลาการทำงาน ความเร็วในการหยิบต่อรอบของเส้นทาง
  5. วิเคราะห์ประสิทธิภาพการจัดวางสินค้าในชั้นของคลังสินค้า
  6. การกำหนดบทบาทของพนักงานในคลังสินค้า ผุ้มีอำนาจอนุมัติและ ตัดสินใจ
  7. บันทึกประวัติการทำงานต่าง ๆ ภายในคลังสินค้า การติดตามตัวสินค้า ล๊อตสินค้า ต้นทุนสินค้า การจัดการสินค้าส่งคืน


ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ( National Electronics and Computer Technology Center : NECTEC )

          ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (National Electronics and Computer Technology Center : NECTEC หรือเนคเทค) ก่อตั้งขึ้นโดยมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2529 โดยในระยะเริ่มต้นมีสถานะเป็นโครงการภายใต้ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยี สำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและการพลังงาน (ชื่อในขณะนั้น)

          ต่อมาในวันที่ 30 ธันวาคม 2534 เนคเทคได้เปลี่ยนแปลงสถานะเป็นศูนย์แห่งชาติเฉพาะทาง และเปลี่ยนการจัดรูปแบบองค์กรใหม่ เพื่อให้มีความคล่องตัวขึ้นกว่าเดิม ตามพระราชบัญญัติพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พ.ศ. 2534 พ.ร.บ. ฉบับนี้ก่อให้เกิดการรวมตัวกันขององค์กรต่างๆ 4 องค์กรที่มีอยู่ขณะนั้น ได้แก่ คณะกรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Science and Technology Development Board: STDB หรือ กพวท.) ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ และศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ขึ้นเป็นสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (National Science and Technology Development Agency: NSTDA หรือ สวทช.) สังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม (ในขณะนั้น)

          สวทช. เป็นหน่วยงานของรัฐที่มิใช่ส่วนราชการ มีระบบการบริหารและนโยบายที่กำหนดโดยคณะกรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (กวทช.) ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิในภาครัฐบาลและภาคเอกชนฝ่ายละเท่าๆ กัน โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นประธาน ผู้อำนวยการ สวทช. เป็นกรรมการและเลขานุการ

          เนคเทคมีคณะกรรมการบริหารศูนย์ ซึ่งมีองค์ประกอบคล้ายคลึงกับ กวทช. คือ มีกรรมการซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิจากภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อให้เกิดความร่วมมืออย่างใกล้ชิดในการเสนอแนะแนวนโยบาย วางแนวทางการบริหารงานของศูนย์ ที่สอดคล้องกับนโยบายและหลักเกณฑ์ที่ กวทช.กำหนด โดยมีผู้อำนวยการเนคเทคเป็นกรรมการและเลขานุการ

          ภารกิจหลักของศูนย์ฯ ได้แก่

  • ดำเนินการวิจัย พัฒนาและวิศวกรรมจากระดับห้องปฏิบัติการถึงขั้นโรงงานต้นแบบ ทั้งในด้านการสร้างขีดความสามารถและศักยภาพในสาขาเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์
  • วิเคราะห์ สนับสนุน และติดตามประเมินผลโครงการวิจัย พัฒนาและวิศวกรรมของภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษาเพื่อสร้างความสามารถและศักยภาพในสาขาเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์
  • ร่วมให้บริการวิเคราะห์และทดสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์ การสอบเทียบมาตรฐานและความถูกต้องของอุปกรณ์ การให้บริการข้อมูล และการให้คำปรึกษาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
  • ร่วมจัดการฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากร รวมทั้งให้คำปรึกษาทางวิชาการ
  • ส่งเสริมและจัดให้มีความร่วมมือระหว่างนักวิจัยและนักวิชาการในสถาบันและหน่วยงานต่างๆทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ
  • สนับสนุน ประสานงาน และดำเนินการด้านความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน เพื่อกระตุ้นการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ในการพัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศ

สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) [ Software Industry Promotion Agency (Public Organization) : SIPA ]

          สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือชื่อในภาษาอังกฤษว่า Software Industry Promotion Agency (Public Organization)เรียกชื่อย่อว่า SIPA เป็น หน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2546

          SIPA เป็นหน่วยงานหลักที่มีบทบาทสำคัญต่ออุตสาหกรรมซอฟต์แวร์และผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม โดยมีบทบาทหลักในการยกระดับ ผลักดัน ส่งเสริมและสนับสนุน ให้อุตสาหกรรมและผู้ประกอบการมีขีดความสามารถในการแข่งขันที่ทัดเทียมกับผู้ประกอบการในต่างประเทศ สนับสนุนให้เกิดการลงทุน และการรวมกลุ่มผู้ประกอบการเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์

          พันธกิจ ( MISSION )


  1. ส่งเสริม การเงิน การลงทุน และสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้กับผู้ประกอบการซอฟต์แวร์
  2. ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการพัฒนาซอฟต์แวร์ ที่สอดคล้องกับความต้องการของภาคเศรษฐกิจหลักของประเทศ
  3. พัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านซอฟต์แวร์ ให้มีทักษะที่สูงและตรงกับความต้องการของผู้ประกอบการ ซอฟต์แวร์ในภาคอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์
  4. การส่งเสริมให้ธุรกิจขนาดกลาง และขนาดเล็ก (SMEs) ในประเทศใช้ซอฟต์แวร์ในการบริหารจัดการเพื่อเพิ่ม ศักยภาพธุรกิจ
  5. ส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือ ทั้งด้านการตลาดและการพัฒนาซอฟต์แวร์/บริการซอฟต์แวร์ ระหว่างผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ไทยกับผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ ต่างชาติ
  6. ส่งเสริมให้เกิดการวิจัย ด้านผลิตภัณฑ์หรือบริการซอฟต์แวร์และผลักดันให้เกิด การนำผลงานวิจัยมาต่อยอดทางธุรกิจ
  7. ส่งเสริมให้เกิดการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ในผลิตภัณฑ์และบริการซอฟต์แวร์ที่คิดค้นโดยผู้ประกอบการไทย และให้บริการแก้ไขปัญหาแบบเบ็ดเสร็จ

          ค่านิยมองค์กร (CORE-VALUE)

          หมายถึง ความคิดหรือความเชื่อร่วมกันของสำนักงานซึ่งได้รับการพิจารณาแล้วว่ามีคุณค่า มีประโยชน์ ถูกต้องเหมาะสม ดีงาม สมควรประกาศไว้เพื่อกำกับให้ บุคลากรในสำนักงานยึดถือและประพฤติ ปฏิบัติตาม คือ SIPA หมายถึง

  • S : Service-minded การบริการด้วยจิตอาสา
  • I : Integrity การยึดหลักความซื่อสัตย์และความถูกต้อง
  • P : Performance-based การดำเนินงานโดยเน้นคุณภาพและประสิทธิภาพ
  • A : Accountability การดำเนินงานด้วยความโปร่งใสสามารถตรวจสอบได้


กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ( Digital Economy:DE )

พันธกิจ 

  1. เสนอนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นโยบายและแผนด้านสถิติ ด้านอุตุนิยมวิทยา รวมทั้งเสนอมาตรการ กฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวกับดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและติดตาม กำกับดูแลและประเมินผลการทำงานตามนโยบายชาติและแผนดังกล่าว
  2. พัฒนาและบริหารจัดการโครงข่ายสื่อสารโทรคมนาคมของประเทศ รวมทั้งกำกับ ส่งเสริมให้นำโครงสร้างพื้นฐานและนวัตกรรมมาใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
  3. ส่งเสริม สนับสนุนให้ภาคธุรกิจใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล รวมถึงสนับสนุนการพัฒนาให้เกิดอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และเพิ่มมูลค่าของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลของประเทศ
  4. ส่งเสริม สนับสนุนการพัฒนาสังคมดิจิทัลเพื่อพัฒนาประชาชนให้มีความรู้ ความสามารถในการประยุกต์ใช้ และสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล
  5. พัฒนาบุคลากรด้านดิจิทัลสารสนเทศให้มีมาตรฐานวิชาชีพ และพัฒนาประชาชนทั่วไปให้มีความรู้ความสามารถในการใช้ดิจิทัลอย่างสร้างสรรค์ เพื่อเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
  6. ส่งเสริม สนับสนุนการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของหน่วยงานภาครัฐทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จนพัฒนาไปสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล
  7. บริหารจัดการระบบสถิติของประเทศ ผลิตสถิติสารสนเทศ การบริการสถิติสารสนเทศ รวมทั้งส่งเสริมและพัฒนาการอุตุนิยมวิทยา ให้มีประสิทธิภาพ ทันต่อเหตุการณ์
  8. ส่งเสริม สนับสนุนการวิจัย และพัฒนานวัตกรรมด้านดิจิทัลเพื่อเพิ่มศักยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
  9. กำกับดูแลกฎหมายด้านดิจิทัล เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในความรับผิดชอบ รวมทั้งกำกับดูแล สนับสนุนและประสานงานด้านความมั่นคงปลอดภัยในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร


อำนาจหน้าที่

          พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ๑๗) พศ. ๒๕๕๙ (เพื่อจัดตั้งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม) หมวด ๘/๑ มาตรา ๒๑/๑ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มีอํานาจหน้าที่เกี่ยวกับการวางแผนส่งเสริม พัฒนา และดําเนินกิจการเกี่ยวกับดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม การอุตุนิยมวิทยา การสถิติ และราชการอื่นตามที่มีกฎหมายกําหนดให้เป็นอํานาจหน้าที่ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือส่วนราชการที่สังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

          มาตรา 25 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มีส่วนราชการ ดังนี้

  1. สำนักงานรัฐมนตรี
  2. สำนักงานปลัดกระทรวง
  3. กรมอุตุนิยมวิทยา
  4. สํานักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
  5. สำนักงานสถิติแห่งชาติ


          นอกจากนี้ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมยังมีหน่วยงาน องค์การมหาชนและรัฐวิสาหกิจในสังกัดอีก 6 แห่งประกอบด้วย


  1. บริษัท ทีโอที จำกัด(มหาชน)
  2. บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน)
  3. บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด
  4. สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน)
  5. สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน)
  6. สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน)

เป้าประสงค์เชิงยุทธศาสตร์ /เป้าหมายการให้บริการระดับกระทรวง
  1. ประชาชนเข้าถึงข้อมูลและบริการของภาครัฐผ่านโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงได้อย่างทั่วถึง และมั่นคงปลอดภัย
  2. มูลค่าทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นจากการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการทำธุรกิจและประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจากการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล
  3. บริการภาครัฐมีการเชื่อมโยงและมีการเปิดเผยข้อมูลให้ทุกภาคส่วนสามารถนำไปใช้ประโยชน์ และประชาชนได้รับบริการที่สะดวก รวดเร็ว
  4. ประชาชน ภาครัฐ และเอกชน ได้รับข้อมูลอุตุนิยมวิทยาและการเตือนภัยจากสภาวะอากาศ ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ทันเหตุการณ์