วันพุธที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2560

Offshore & Onshore

Offshoring 

การย้ายงานไปต่างประเทศส่วนหนึ่งหรือทุกส่วนทำงานจากประเทศหนึ่งไปสู่อีกประเทศหนึ่งโดยปกติจะเป็นวิธีลดค่าใช้จ่ายและมีส่วนร่วมในทักษะเฉพาะ ตัวอย่างเช่น OEM จาก Western-West สามารถ outsource การผลิตผลิตภัณฑ์หนึ่งหรือทั้งหมดให้แก่ซัพพลายเออร์ในประเทศจีนเพื่อใช้ประโยชน์จากค่าแรงและค่าวัสดุที่ลดลงและเพื่อเข้าถึงตลาดแรงงานเฉพาะด้าน 
OEMs ในประเทศที่พัฒนาแล้วเริ่มเอาท์ซอร์สการผลิตลดค่าใช้จ่ายในประเทศฐานอย่างจริงจังในปี 1970 และ 1980 และการปฏิบัติที่เร่งเข้าสู่สหัสวรรษใหม่ ระหว่างปี 1994 และปี 2004 ในต่างประเทศในภาคการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ  35
การออฟเฟนซอร์สไม่ได้มาโดยไม่มีปัญหา ระยะห่างทางภูมิศาสตร์ระหว่างทั้งสองฝ่ายมักหมายถึงการขาดการติดต่อแบบเห็นหน้าซึ่งหมายถึงความไว้วางใจอาจถูกทำลาย การทำเช่นนี้อาจทำให้ OEM เสี่ยงต่อการคุกคามเช่นการโจรกรรมทรัพย์สินทางปัญญาและการฉ้อโกง นอกจากนี้ยังอาจมีอุปสรรคเกี่ยวกับวัฒนธรรมภาษาศาสตร์และทางภูมิศาสตร์เพื่อเอาชนะ ตลอดจนปัญหาในทางปฏิบัติที่เกิดจากความแตกต่างของเวลาและกฎหมายการปฏิบัติงานและการปฏิบัติงานของท้องถิ่น 

Onshoring

เมื่อเร็ว ๆ นี้หลาย บริษัท ได้เริ่มกลับการลงทุนในต่างประเทศและนำกลับมาดำเนินการกับดินที่บ้าน ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า 'onshoring', 'reshoring', 'inshoring' หรือ 'backshoring' ข้อกำหนดเหล่านี้อ้างถึงผู้ผลิตอุปกรณ์ต่อเนื่องที่ทำงานร่วมกับคู่ค้าในการผลิตตามสัญญา แต่เฉพาะที่ดำเนินการภายในประเทศของตนเองเท่านั้น 
ต่อจากการแข่งขันไปต่างประเทศในช่วงยี่สิบห้าปีที่ผ่านมาสิ่งที่อยู่เบื้องหลังแนวโน้มย้อนกลับนี้? ปัจจัยสองประการที่ส่งผลต่อปรากฏการณ์นี้คือแรงงานและต้นทุนการขนส่งเพิ่มขึ้น ที่จะนำขนาดบางเกี่ยวกับเรื่องนี้ตั้งแต่ปี 2001 รายชั่วโมงค่าจ้างผลิตในประเทศจีนได้เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยร้อยละ 12 ต่อปี  คู่กับข้อเท็จจริงที่ว่าแม้จะมี blip ปัจจุบันราคาน้ำมันทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมาและเป็นเรื่องง่ายที่จะเห็นว่าเหตุใดการสร้างรายได้ที่น่าประทับใจจึงเกี่ยวข้องกับการส่งออกสินค้าในอดีตอยู่ภายใต้การคุกคาม 
ตามที่ PwC แนวโน้มการเติบโตของงาน reshoring เมื่อ outsourced ต่างประเทศอาจเพิ่มเศรษฐกิจสหราชอาณาจักรโดยระหว่างร้อยละ 0.4 และร้อยละ 0.8 นั่นคือประมาณ 6 พันล้านปอนด์ถึง 12 พันล้านปอนด์ในช่วงสิบปีข้างหน้าในค่านิยมของวันนี้  

วันอังคารที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2560

Outsourcing

          Outsource หรือการจ้างพนักงานแบบชั่วคราวนั้นหมายถึง การว่าจ้างบริษัทหรือบุคคลากรที่มีความรู้ความสามารถและความเชี่ยวชาญในเรื่องต่างๆเป็นการเฉพาะ เข้ามาทำงานนั้นๆแทนให้ทั้งหมดหรืออาจจะเป็นแค่เพียงในบางส่วน โดยที่สำคัญคือจะต้องไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินงานในภาพรวมของทางบริษัทด้วย ซึ่งอาจจะว่าจ้างรับเป็นชิ้นๆงานหรือเซ็นสัญญาว่าจ้างกันเป็นระยะเวลาแบบรายเดือนหรือรายปีก็สามารถทำได้ตามแต่ที่จะตกลงกันระหว่างผู้ประกอบการกับผู้ที่รับจ้าง ซึ่งปัจจุบันระบบการทำงานในลักษณะของ Outsource กำลังเป็นที่ได้รับความนิยมสนใจในหมู่ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็กหรือที่เรียกว่า SME จนไปถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ประเภทข้ามชาติเป็นจำนวนมาก เพราะสามารถตอบสนองและเข้าถึงความต้องการในรูปแบบการทำธุรกิจในสถานการณ์ปัจจุบันได้เป็นอย่างดี

          ข้อดี

          1.ต้นทุนค่าใช้จ่ายน้อยลง
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ระบบการทำงานในลักษณะของ Outsource ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงก็มีสาเหตุหลักมาจากความสามารถในการประหยัดต้นทุนค่าใช้จ่ายของบริษัทนั่นเอง เพราะการที่ผู้ประกอบการว่าจ้างบุคคลากรที่มีความรู้ความสามารถในเรื่องดังกล่าวจากภายนอกมาเป็นผู้ดำเนินงานในเรื่องต่างๆแทนให้จะช่วยให้ท่านสามารถประหยัดงบประมาณในส่วนดังกล่าวได้เป็นอย่างดี เมื่อเทียบกับการจัดตั้งแผนกขึ้นมาใหม่อย่างเต็มรูปแบบ ที่จะต้องเสียทั้งค่าจ้างพนักงาน รวมถึงต้องมีสวัสดิการต่างๆให้ด้วย

          2.ตัดตอนโครงสร้างการดูแลและบริการ
ธุรกิจขนาดกลางจะชื่นชอบประโยชน์ของการว่าจ้างในลักษณะ Outsource ในข้อนี้ค่อนข้างมาก เพราะการว่าจ้างพนักงานชั่วคราวจะช่วยลดภาระการดูแลและการบริหารงานของผู้ประกอบการได้เป็นอย่างดี เนื่องจากภาระกิจหลักที่ท่านต้องการได้ถูกสั่งและทำความเข้าใจในเรื่องของรายละเอียดกับผู้รับงานไปแล้วตั้งแต่ตอนต้นก่อนที่จะเข้ามาทำงาน ผู้ประกอบการจึงเพียงแค่คอยติดตามและประเมินผลเท่านั้น หากไม่เป็นไปตามเป้าก็สามารถว่าจ้างผู้รับงานรายอื่นให้เข้ามาทำหน้าที่แทนได้ จึงมีความได้เปรียบและยืดหยุ่นกว่าการว่าจ้างพนักงานประจำมากซึ่งท่านจะต้องคอยดูแลเอาใจใส่ในทุกขั้นตอนหากมีข้อผิดพลาดก็ต้องลงมาแก้ไขด้วยตนเองอีกต่างหาก

           3.ไม่ต้องเสียเวลาฝึกพนักงาน
หากผู้ประกอบการจัดตั้งแผนกหรือดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องต่างๆด้วยตนเองทั้งหมด แน่นอนว่าผู้ประกอบการจะต้องเสียเวลาไปกับการฝึกพนักงานให้ทำงานตามที่ท่านต้องการใหม่ทั้งหมดเหมือนกับการเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่เลยทีเดียว แต่ปัญหาในเรื่องดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้นหากผู้ประกอบการใช้ระบบ Outsource ซึ่งผู้ที่มารับงานถูกจัดว่าเป็นมืออาชีพในเรื่องต่างเป็นการเฉพาะอยู่แล้ว จึงสามารถลดระยะเวลาที่ต้องเสียไปกับการทดลองและฝึกงานลงไปได้อย่างมาก ซึ่งผู้ประกอบการทุกคนต่างรู้ดีว่าเรื่องของเวลามีความสำคัญมากขนาดไหนในการทำธุรกิจ

           4.ได้พนักงานมืออาชีพ
บุคคลหรือบริษัทที่มารับงานในลักษณะของ Outsource ต่อจากผู้ประกอบการจะมีลักษณะของความเป็นมืออาชีพติดตัวเป็นทุนเดิมมาอยู่แล้ว (ขึ้นอยู่กับการคัดเลือกของผู้ประกอบการด้วย) พวกเขาจะมี know – how และรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ควรทำเพื่อตอบสนองกับความต้องการทางธุรกิจของท่าน และในบางครั้งพวกเขายังอาจแนะนำเทคนิคดีๆที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของบริษัทผู้ประกอบการได้อีกด้วย

           5.เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของบริษัท
การที่ผู้ประกอบการว่าจ้างพนักงานหรือบริษัทอื่นๆให้เข้ามาทำหน้าที่ดูแลในเรื่องต่างๆแทนให้นั้น หากผู้ประกอบการเลือกที่จะว่าจ้างพนักงานและบริษัทที่มีความเก่งกาจหรือความชำนาญมากเป็นพิเศษก็จะส่งผลให้ศักยภาพโดยรวมของธุรกิจเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย อันเกิดจากผลประโยชน์ที่ได้รับจากการเลือกใช้ Outsource ที่ถูกวิธีนั่นเอง จัดได้ว่าเป็นการยกระดับบริษัทไปอีกหนึ่งขั้นเลยก็ว่าได้

           6.สร้างความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้า
ในหลายๆครั้งที่ผู้ประกอบการต้องออกไปเจรจาทำธุรกิจกับลูกค้า สิ่งหนึ่งที่ลูกค้ามักจะหยิบยกนำขึ้นมาใช้ในการพิจารณาก็คือในส่วนของประสิทธิภาพและเครดิตความน่าเชื่อถือของบริษัทท่าน ซึ่งหากบริษัทของผู้ประกอบการมีการร่วมงานในลักษณะของ Outsource กับบุคคลหรือบริษัทที่มีชื่อเสียงแล้วละก็จะเป็นการช่วยเติมเต็มในส่วนของทัศนคติเรื่องประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือในใจของลูกค้าที่มีต่อธุรกิจของผู้ประกอบการได้เป็นอย่างดี

          ข้อเสีย
          1.คุณภาพของพนักงาน Outsource ไม่เป็นไปตามที่องค์กรต้องการ : หากเป็นการจ้างในตำแหน่งงานทั่ว ๆ ไปที่ไม่กระทบต่อองค์กรโดยตรง เช่น งานรับ-ส่งเอกสาร, งานแม่บ้านทำความสะอาด ปัญหาในเรื่องนี้อาจจะยังไม่มีผลกระทบต่อองค์กรมากนัก แต่หากเป็นพนักงานที่อยู่ในสายการผลิตที่จะต้องผลิตสินค้าให้ได้คุณภาพตามมาตรฐาน ให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุดภายในเวลาที่กำหนดเพื่อส่งมอบให้ลูกค้าทันตามเวลา แล้วพบว่าพนักงาน Outsource ที่จ้างเข้ามาไม่สามารถปฏิบัติงานได้ตามเป้าหมายที่องค์กรกำหนดไว้ จะมีความเสียหายกับเนื้องานที่จะต้องมาแก้ไขกันอีก รวมถึงการจ้าง Outsource มาให้บริการกับลูกค้าที่หน้างานโดยตรงถ้าพนักงาน Outsource แสดงพฤติกรรมการบริการลูกค้าที่ไม่เหมาะสมออกไป หัวหน้างานที่รับผิดชอบในจุดที่เป็นปัญหาเหล่านั้นจะต้องมาคอยตามแก้ไขปัญหาเหล่านี้ด้วยความเหนื่อยอกเหนื่อยใจไม่น้อยเลยใช่ไหมครับ


          2.อัตราการลาออกของพนักงาน Outsource สูง : นี่ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่มักจะพบอยู่เสมอ ๆ เพราะในวันนี้เขามาทำงานกับองค์กรเราเป็นพนักงาน Outsource แต่วันใดที่เขาหางานประจำได้ เขาย่อมต้องการความมั่นคงจากการเป็นพนักงานประจำในองค์กรที่มีชื่อเสียง หรือมั่นคงกว่าการเป็นพนักงาน Outsource เป็นธรรมดาครับ โดยเฉพาะคนที่มีคุณภาพหรือมีศักยภาพ หรือเป็นคนเก่ง ๆ ย่อมจะมีโอกาสได้งานประจำง่ายขึ้นไปอีกเราจึงมักจะพบอยู่เสมอ ๆ ว่าพนักงาน Outsource ที่ทำงานดี มีความรับผิดชอบสูง เมื่อเข้ามาทำงานในองค์กรของเราไม่นานจะหายหน้าหายตาไปอีกแล้ว เพราะได้งานประจำ 
แม้บริษัทต้นสังกัดจะส่งคนมาทดแทน แต่ก็ต้องมาเริ่มต้นสอนงานกันใหม่อีกทุกครั้ง ผลคือทำให้งานเกิดการสะดุดไม่ต่อเนื่อง หลายครั้งที่ผมไปบรรยายในองค์กรต่าง ๆ มักจะมีคำบอกเล่าปนความเหน็ดเหนื่อยทำนองนี้จากหัวหน้างาน หรือคนที่จะต้องเป็นครูสอนงานพนักงาน Outsource อยู่บ่อย ๆ ครับ


          3.การวางแผนอัตรากำลังที่ไม่เหมาะสมระหว่างพนักงานประจำกับพนักงาน Outsource : ในบางองค์กรมีการจ้างพนักงาน Outsource เข้ามามาก โดยอาจเป็นอัตราส่วนระหว่างพนักงาน Outsource ต่อพนักงานประจำ 30 : 70 หรือบางที่อาจจะเป็น 40 : 60 หรืออาจจะมากกว่านี้ ซึ่งเท่ากับว่าองค์กรนั้นกำลังฝากอนาคตไว้กับพนักงาน Outsource ซึ่งไม่ใช่พนักงานประจำ และมีความเสี่ยงต่อการควบคุมคุณภาพในการผลิต หรือการบริการให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด

          4.พนักงานประจำรู้สึกว่าตนเองมีรายได้ต่ำกว่าพนักงาน Outsource : ยกตัวอย่างง่าย ๆ ว่า สมมติว่าเดิมองค์กรของเราเคยจ้างพนักงานปฏิบัติการเป็นพนักงานประจำเดือนละ 10,000 บาท แต่พอเราเปลี่ยนนโยบายมาเป็นการจ้างพนักงานปฏิบัติการแบบ Outsource เราจะต้องจ้างที่เดือนละ 12,000 ถึง 13,000 บาทเพราะบริษัทที่เป็น Outsourcing เขาจะต้องมีค่าใช้จ่ายดำเนินการต่าง ๆ เช่น ต้องดูแลเรื่องเงินเดือน, สวัสดิการ และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของพนักงาน Outsource ที่ส่งมาให้องค์กรของเรา เมื่อพนักงานของเรามาทำงานร่วมกับพนักงาน Outsource คงอดที่จะสอบถามเรื่องผลประโยชน์กันไม่ได้ และแน่นอนว่าจะต้องเกิดการเปรียบเทียบ 



วันเสาร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2560

In-Hourse Development

ข้อดีของการพัฒนา โปรแกรม ERP เอง
1. ได้ระบบตรงตามความต้องการ 100% เพราะผู้พัฒนา ย่อมต้องทำโปรแกรม ตามที่ผู้ใช้ต้องการ โดยไม่มีเงื่อนไข
2. สามารถควบคุมปัจจัยต่างๆ ในการพัฒนาได้มากกว่า เช่น การเร่งเวลา การเพิ่มบุคคลากร การแก้ไขรายละเอียด (Specification) ของโปรแกรม และการรักษาความลับทางธุรกิจ เป็นต้น
ข้อเสียของการพัฒนา โปรแกรม ERP เอง
1. ต้นทุนในการพัฒนาจะสูง และควบคุมงบประมาณได้ยาก เพราะองค์กรต้องจ่ายเงินเดือนประจาให้โปรแกรมเมอร์ และต้องซื้อเครื่องไม้เครื่องมือ เพื่อการพัฒนาด้วยตนเอง แต่เพียงผู้เดียว ไม่อาจเฉลี่ยค่าใช้จ่าย ให้กับผู้อื่นได้ และมีความเสี่ยง หากทาเองแล้วไม่สาเร็จ
2. ค่าใช้จ่าย ในการบารุงรักษาโปรแกรม จะสูงแปรผันตามการลงทุน ในการพัฒนาโปรแกรม เพราะจะต้อง ว่าจ้างโปรแกรมเมอร์ ที่เขียนงานไว้เพื่อดูแลระบบต่อไป อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งโดยปกติแล้ว กาลังงานที่ใช้ในการดูแล (Maintain) จะต้องน้อยกว่าขั้นตอนการพัฒนาเสมอ
3. องค์กรอาจถูกพนักงานโปรแกรมเมอร์ กลั่นแกล้งหรือต่อรอง กับองค์กร เพื่อประโยชน์ตนเอง ซึ่งองค์กร มักตกเป็นเบี้ยล่าง เพราะซอฟท์แวร์ ที่โปรแกรมเมอร์เขียนไว้ ไม่สามารถหาบุคคลอื่นมาดูแล หรือสานงานต่อได้ เมื่อโปรแกรมเมอร์ลาออก ก็ต้องทิ้งโปรแกรมตามไปด้วย หรือทนใช้ไป ท่ามกลางความเสี่ยง เหมือนยืนอยู่บนเส้นด้าย
4. องค์กรไม่อาจมุ่งทรัพยากรทั้งหมด เพื่อสร้างความเชี่ยวชาญเฉพาะ อุตสาหกรรม ที่ดาเนินการอยู่ได้อย่างแท้จริง เพราะต้องคอยมาบริหาร การพัฒนาโปรแกรม ควบคู่ไปด้วย ทั้งๆที่ไม่ใช่ความเชี่ยวชาญหลัก ขององค์กร
5. องค์กรมักตามไม่ทัน กับเทคโนโลยีด้าน IT ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เพราะบุคลากรภายใน ไม่ได้ถูกผลักดันจากภาวะการแข่งขัน ในการพัฒนาโปรแกรม กับองค์กรอื่น
6. บุคลากรหรือโปรแกรมเมอร์ ภายในองค์กร มักมีประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญน้อยกว่า โปรแกรมเมอร์ จากบริษัท Software House หรือจากบริษัทผลิตโปรแกรมสาเร็จรูป เพราะบริษัทเหล่านั้น มีการถ่ายทอด แลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน ระหว่าง Senior Programmers และ Junior Programmers ได้อย่างทั่วถึง และมีการพัฒนาโปรแกรม ตลอดเวลา เป็นระยะเวลานาน ทาให้มีความเชี่ยวชาญ เป็นมืออาชีพมากกว่า
7. เมื่อความต้องการขององค์กรเปลี่ยนไป ในอนาคตตามสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ โปรแกรมที่พัฒนาไว้เดิม อาจไม่รองรับการเปลี่ยนแปลง หรือไม่มีความยืดหยุ่นพอ เพราะผู้ออกแบบโปรแกรม ไม่ได้เตรียมการไว้ล่วงหน้า ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากความไม่มีประสบการณ์ ความมักง่าย หรือความไม่รู้ หากโชคดีก็อาจจะพอแก้ไขกันได้ แต่หากโชคร้าย ก็ต้องพัฒนากันใหม่ เสียทั้งเงินทั้งเวลาอีกครั้ง
บทสรุปของการพัฒนา โปรแกรม ERP เอง
รูปแบบการพัฒนาโปรแกรมเองนี้ มักเป็นทางเลือกที่มีลักษณะเฉพาะอยู่มาก เช่น มักเป็นระบบ ที่เกี่ยวเนื่องกับความลับ หรือ Know How ขององค์กรที่ไม่ต้องการเปิดเผย ให้ผู้อื่นทราบ หรือต้องการความรวดเร็วเร่งด่วน ในการพัฒนา จากความต้องการ ที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เช่น ระบบ Billing ของธุรกิจให้บริการ โทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศไทย ที่มีโปรโมชั่นใหม่ทุกๆเดือน หรือระบบการขายแบบ MLM (Multi Level Marketing) ที่มีความซับซ้อน ในการขายและการคิด Commission เป็นต้น

วันอังคารที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2560

Carbon Footprint

          "ปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับสภาวะแวดล้อมอันเนื่องมาจากมลพิษหรือความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในที่หนึ่งที่ใดก็ตาม ย่อมส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึงที่อื่นๆ ด้วย"

          รอยเท้าคาร์บอน (Carbon Footprint) เป็นการวัดผลกระทบจากกิจกรรมของมนุษย์ที่มีต่อระบบสิ่งแวดล้อมในแง่ของปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่สร้างขึ้นมาจากกิจกรรมนั้นๆ โดยวัดคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมา รอยเท้าคาร์บอนใช้ประเมินว่าคน ประเทศ หรือองค์กรหนึ่งๆ สร้างผลกระทบต่อภาวะโลกร้อนมากน้อยเพียงใด วิธีการหลักของรอยเท้าคาร์บอนคือ ประเมินปริมาณคาร์บอนที่ปล่อยออกมาสู่สิ่งแวดล้อมและประเมินความมากน้อยในการส่งเสริมพลังงานทดแทนหรือพลังงานสะอาดขององค์นั้น เช่น พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ หรือการปลูกป่า รอยเท้าคาร์บอนเป็นส่วนย่อยของรอยเท้าระบบนิเวศ (Ecological footprint) ซึ่งจะรวมเอาความต้องการของมนุษย์ทั้งหมดในระบบชีวนิเวศน์เข้าไปด้วย


          Carbon footprint          Carbon Footprint (CF) เป็นค่าทางวิทยาศาสตร์ที่คำนวณปริมาณการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากผลิตภัณฑ์หรือกิจกรรมต่างๆ สู่บรรยากาศ  โดยคำนวณออกมาในรูปคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งการวัดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกมีทั้งทางตรงและทางอ้อม
          ทางตรง เป็นการวัดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยอกมาจากกิจกรรมที่เกิดขึ้นโดยตรง เช่น การเผาไหม้ของเชื้อเพลิงรวมถึงการใช้พลังงานในครัวเรือนและยานพาหนะ
          ทางอ้อม เป็นการวัดปริมาณก๊าซเรือนกระจกจากผลผลิต หรือผลิตภัณฑ์ที่เราใช้ โดยคำนวณรวมทั้งกระบวนการผลิตตั้งแต่กระบวนการได้มาซึ่งวัตถุดิบ การเพาะปลูก การแปรรูป การขนส่ง การใช้งาน รวมไปถึงกระบวนการจัดการซากผลิตภัณฑ์หรือบรรจุภัณฑ์หลังการใช้งาน เรียกได้ว่าตลอดวัฎจักร์ชีวิตของผลิตภัณฑ์ (LCA: Life Cycle Assessment)


          Carbon footprint กับชีวิตประจำวัน          กิจกรรมในชีวิตประจำวันของเราทุกคน ล้วนมีส่วนที่ทำให้เกิด Carbon Footprint ทั้งการเดินทาง การรับประทานอาหาร กิจกรรมในครัวเรือน และในที่ทำงาน


          กิจกรรมที่ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซพิษมากที่สุด


  1. การใช้เชื้อเพลิงภายในองค์กรและบ้านเรือน (15%)
  2. กิจกรรมการพักผ่อนหย่อนใจ (14%)
  3. บริการสาธารณะ (12%)
  4. การใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านเรือน (12%)
  5. การคมนาคม/เดินทาง (ส่วนตัว) (10%)
  6. การสร้างบ้านและการทำเฟอร์นิเจอร์ (9%)
  7. โรงงานรถยนต์ (7%)
  8. การเดินทางท่องเที่ยวด้วยเครื่องบิน (6%)
  9. อาหารและเครื่องดื่ม (5%)
  10. เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม (4%)
  11. บริหารขนส่งสาธารณะ (3%)
  12. บริการการเงิน (3%)


          เครื่องหมาย Carbon Footprint
          เครื่องหมาย Carbon Footprint ที่จะติดบนสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ นั้น เป็นการแสดงข้อมูลให้ผู้บริโภคได้ทราบว่าตลอดวัฎจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์เหล่านั้นมีการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาปริมาณเท่าไหร่
          ตั้งแต่กระบวนการหาวัตถุดิบ การผลิต การขนส่ง การใช้งาน และการกำจัดเมื่อกลายเป็นของเสีย ซึ่งจะช่วยในการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค และกระตุ้นให้ผู้ประกอบการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีในการให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น การใช้ Carbon Footprint ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกด้วย เนื่องจากขณะนี้ในหลายประเทศเริ่มมีการนำ Carbon Footprint มาใช้กันแล้ว ทั้งในอังกฤษ ฝรั่งเศษ สวิสเซอร์แลนด์ แคนาดา ญี่ป่น และเกาหลี เป็นต้น และมีการเรียกร้องให้สินค้าที่นำเข้าจากประเทศไทยต้องติดเครื่องหมาย Carbon Footprint ด้วย นอกจากนั้น หากประเทศไทยมีการดำเนินโครงการและเก็บข้อมูลการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ชัดเจน จะช่วยให้เรามีอำนาจในการต่อรองมากขึ้นในการประชุมระดับโลกเพื่อกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน







วันพุธที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2560

Simple Object Access Protocol (soap)

          SOAP คืออะไร
          SOAP ย่อมาจาก Simple Object Access Protocol คือโปรโตคอลมาตรฐานที่ใช้ใน Web Services เป็นโพรโทคอล ( Protocol )ในการติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันของ web services เป็นโพรโทคอลการสื่อสาร ในระดับ Application Layer หรือในระดับ แอปพลิเคชัน โดยอาศัยผ่านอินเทอร์เน็ตโพรโทคอล ซึ่งอาศัยรูปแบบของภาษา  XML ทำให้ Web services สามารถสื่อสารกันได้แม้ว่า จะอยู่บนเครื่องคอมพิวเตอร์คนละเพลตฟอร์ม หรือพัฒนาด้วยภาษาโปรแกรมที่ต่างกันก็ตาม และนิยมใช้ HTTP เป็นโปรโตคอลร่วมสำหรับส่งผ่านข้อมูลบนระบบอินเตอร์เน็ต   SOAP ทำงานร่วมกับโพรโตคอลได้หลายชนิด เช่น HTTP, SMTP, FTP, IIOP เป็นต้น

ลักษณะข้อความที่รับ - ส่ง ผ่านโพรโตคอล SOAP ซึ่งเป็นไปตามรูปแบบของ XML
          จากภาพ อธิบายได้ดังนี้
  1. ผู้ขอใช้บริการ (Service Requester ) สร้าง SOAP Message เพื่อเรียกใช้บริการของ เว็บเซอร์วิส แล้วส่งผ่านโพรโตคอลเครือข่ายไปยังผู้ให้บริการ ในที่นี้ SOAP message ที่รับ-ส่งไปมานั้น อยู่ในรูปแบบ XML และต้องมีการแปลกลับมาอยู่ในรูปแบบที่โปรแกรมหรือเว็บเซิร์ฟเวอร์เข้าใจ โดยมีโปรแกรมที่ทำหน้าที่แปลความหมายของเอกสาร XML คือ XML Parser
  2. ผู้ให้บริการ ( Service Provider ) ได้รับ SOAP Message จากผู้ขอใช้บริการ จากนั้น จึงแปลข้อความนั้นกลับมาอยู่ในรูปแบบที่เว็บเซิร์ฟเวอร์เข้าใจ แล้วตรวจสอบว่า ผู้ใช้บริการต้องการเรียกใช้ เว็บเซอร์วิส ชื่ออะไร เมธอดอะไร และส่งพารามิเตอร์อะไร มาด้วย จากนั้นจึงส่งไปให้แก่คอมโพเนนต์ที่ให้บริการ เว็บเซอร์วิส นั้นๆดำเนินการประมวลผล
  3. หลังจากคอมโพเนนต์ที่ให้บริการ เว็บเซอร์วิส ส่งผลลัพธ์กลับมาแล้วผู้ให้บริการก็จะสร้าง SOAP Message ที่มีผลลัพธ์นั้นออกมาด้วย แล้วจึงส่งผ่านทางโพรโตคอลเครือข่ายกลับคืนไปยังผู้ขอใช้บริการ
  4. ผู้ขอใช้บริการได้รับ SOAP Message ที่อยู่ในรูปแบบ XML จึงแปลข้อความนั้นกลับมาในรูปแบบที่โปรแกรมของผู้ขอใช้บริการเข้าใจแล้วนำผลลัพธ์ไปใช้งาน เช่น แสดงผล หรือไปทำอย่างอื่น แล้วแต่ว่ามีการเขียนโปรแกรมรองรับไว้ให้ทำอย่างไรและจะมี SOAP Listener ทำหน้าที่คอยรับฟังว่ามีการเรียกใช้ เว็บเซอร์วิส จากผู้ใช้ การบริการของ เว็บเซอร์วิส แต่ละบริการจะมีไฟล์ SOAP Listener จำนวน 1 ไฟล์ เมื่อใดที่มีการเรียกใช้ เว็บเซอร์วิส ไฟล์โปรแกรมที่เป็น SOAP Listener ก็จะไปปลุกให้ เว็บเซอร์วิสทำงาน
          ข้อดีของการใช้โพรโตคอล SOAP
  1. โพรโตคอล SOAP สามารถให้เราเรียกใช้คอมโพเนนต์ หรือ เว็บเซอร์วิส ข้ามเครื่อง ข้าม แพลตฟอร์มหรือข้ามภาษา ได้ โดยอาศัยโพรโตคอลที่มีอยู่เดิมในอินเทอร์เน็ต อย่าง HTTP
  2. โครงสร้างข้อมูลของ SOAP เป็นรูปแบบข้อความที่สื่อสารกันด้วยภาษา XML ซึ่งมีลักษณะเป็นข้อความธรรมดาๆปิดล้อมด้วยแท็ค ทำให้เข้าใจได้ในทุกแพลตฟอร์ม
  3. โพรโตคอล SOAP สามารถทำงานผ่านระบบไฟล์วอลล์ ได้ง่ายเนื่องจาก SOAP ทำงานอยู่กับ โพรโตคอล HTTP ซึ่งโดยธรรมชาติของไฟล์วอลล์ จะเปิดให้การสื่อสารด้วย HTTP ผ่านได้อย่างสะดวก
  4. SOAP สนับสนุนจากหลายค่าย เช่น  IBM, MS , SUN
          ข้อเสียของการใช้โพรโตคอล SOAP
  1. เนื่องจากลักษณะของ SOAP message เป็นเอกสาร XML ทำให้เสียเวลาในการแปลกลับมาเป็นรูปแบบที่โปรแกรมเข้าใจ
  2. ในกรณีที่ SOAP ทำงานอยู่กับโพรโตคอล HTTP ซึ่งมีสมรรถนะในการรับ-ส่งข้อมูลต่ำกว่าโพรโตคอล DCOM, RMI, หรือ IIOP จึงทำให้โพรโตคอล SOAP มีอัตราการรับ-ส่งข้อมูลต่ำ


การพัฒนาตั้งแต่ เว็บ 1.0 - 4.0

WEB 1.0 คืออะไรเว็บ 1.0 เป็นเว็บในยุคเริ่มต้นและยังคงมีให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน มักมีรูปแบบของไฟล์เป็นนามสกุลเป็น .htm และ .html ทำหน้าที่ให้ข้อมูลข่าวสารในแบบสื่อสารทางเดียว (One Way Communication) เจ้าของเว็บไซต์หรือผู้ส่งสารจะเป็นผู้กำหนดเนื้อหาเองทั้งหมด และต้องมีความรู้พื้นฐานการทำเว็บและยากที่จะแบ่งปันส่งต่อเนื้อหาออกไป ผู้ใช้หรือผู้รับสารมีหน้าที่รับรู้ข่าวสารเพียงอย่างเดียวไม่สามารถโต้ตอบได้ เช่นเดียวกับสื่อกระแสหลักอื่น ๆ เช่น หนังสือพิมพ์วิทยุและโทรทัศน์
WEB 2.0 คืออะไรเว็บ 2.0 เป็นเว็บในปัจจุบันที่มีการใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อเขียนบล็อก (Blog), แชร์รูปภาพ, ร่วมเขียนวีกี (Wiki), แสดงความคิดเห็น (Post Comment), พูดคุย ถกเถียง นินทา ประจาน ใส่ร้าย ทั้งจากเจ้าของเว็บไซต์ หรือจากคนที่เข้ามาใช้งานเว็บไซต์, หาแหล่งข้อมูลด้วยอาร์เอสเอส (RSS) เพื่อฟีด (Feed) มาอ่าน รวมทั้งกูเกิล (Google) เว็บยุค 2.0 จะให้ความสำคัญกับผู้เข้าชมเว็บไซต์ โดยที่ผู้เข้าชมเว็บไซต์จะมีส่วนร่วมต่อเว็บไซต์มากขึ้น ไม่ใช่แค่เข้ามาชมเว็บไซต์ที่เจ้าของเว็บจัดทำขึ้นเท่านั้น ผู้เข้าชมเว็บไซต์สามารถสร้างข้อมูล (Content) ของเว็บไซต์ขึ้นมาได้เองหรือสามารถกำหนดคำสำคัญของเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องข้อมูล (tag content) ทำให้ข้อมูลในเว็บไซต์นั้นมีการ update และพัฒนา ปรับปรุง อย่างรวดเร็ว กลายเป็นเว็บไซต์ ที่มีรูปแบบของการสื่อสารเป็นแบบสองทาง (Two Way Communication)
WEB 3.0 คืออะไรเว็บ 3.0 เป็นเว็บในยุคอนาคตอันใกล้ คือ เว็บที่มีการพัฒนาการต่อจากเว็บ 2.0 ความแตกต่างคือสร้างความฉลาดเทียมให้กับสิ่งไม่มีชีวิตใช้เป็นเครื่องมือช่วยคาดเดาพฤติกรรม วิเคราะห์ความต้องการของมนุษย์ เมื่อได้ข้อมูลนั้นมา ระบบจะประมวลผลอย่างมีเหตุผลพร้อมทั้งแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า สร้างสิ่งที่ต้องการให้ผู้ใช้เว็บไซต์มีการเชื่อมโยงเนื้อหาสัมพันธ์ที่มีความสัมพันธ์กันกับแหล่งข้อมูลอื่น ๆ เป็นเครือข่ายเดียวทั่วโลก มีการพัฒนารูปแบบที่เป็นมาตรฐานใช้ร่วมกันในแบบเอกซ์เอ็มแอล (XML) แต่อาจเกิดปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ เพราะบทความที่มีเป็นจำนวนมากและอาจไม่รู้ว่าแหล่งข้อมูลใดเป็นของเจ้าของอย่างแท้จริง ประกอบกับความไม่มั่นใจว่า ข้อมูลที่มีอยู่มากมายมหาศาลนั้น ข้อมูลใดมีคุณภาพ สิ่งหนึ่งที่น่าจะเกิดขึ้นในยุค Web 3.0 คือ การแก้ไขปัญหาของข้อมูลหรือ Content ที่ไม่มีคุณภาพต่างๆ และพัฒนาระบบการจัดการข้อมูลในเว็บให้ดีขึ้น เพื่อให้ผู้เยี่ยมชมสามารถเขัาถึงเนื้อหาของเว็บได้ดีขึ้นและตรงตามความต้องการ
WEB 4.0 คืออะไรนอกจากการกล่าวถึง Web 3.0 แล้ว ยังมีการคาดการณ์เทคโนโลยีเว็บไปถึง WEB 4.0 ซึ่งมีการเรียกกันว่า “A Symbiotic web” คือ เว็บที่ทำงานแบบ Artificial Intelligence (AI) ที่ฉลาดมากยิ่งขึ้น คอมพิวเตอร์สามารถคิดได้ มีความฉลาดมากขึ้น ในการอ่านทั้งเนื้อหา ข้อความ และรูปภาพ  หรือวีดีโอ สามารถที่จะตอบสนองหรือตัดสินใจได้ว่าจะ load ข้อมูลอะไร จากไหน จึงจะให้ประสิทธิภาพดีที่สุดมาให้ผู้ใช้งานก่อนก่อน  และนอกจากนี้ยังมีรูปแบบการนำมาแสดงที่รวดเร็ว เว็บ 4.0 จะทำให้เว็บ หรือข้อมูลต่างๆ สามารถทำงานได้แทบจะทุก อุปกรณ์หรืออาจจะช่วยระบุตัวตนที่แท้จริงของผู้ใช้ได้


อ้างอิงจาก : http://www.anantasook.com/web-technology-future-internet-web3-0/

Ajax (Asynchronous JavaScript and XML)

          Ajax ไมใชภาษาที่ใชในการเขียนโปรแกรม แตเปนชุดของเทคโนโลยีตางๆ Ajax ยอมาจาก Asynchronous JavaScript And XML ซึ่งหมายถึงการทํางานรวมกันระหวาง JavaScript และ XML แบบ Asynchronous โดยมีหลักการทํางาน 2 สวน คือ การ Update หนาเว็บเพจแบบบางสวน และการ ติดตอสื่อสารกับ Server โดยใชหลักการ Asynchronous ทําใหผูใชไมตองหยุดการทํางาน เพื่อรอการ ประมวลผลจาก Server รวมถึงการดาวนโหลดและการรีเฟรชหนาเว็บเพจของบราวเซอรทางฝง Client  มีการใช Ajax โดยการเพิ่มเลเยอรระหวาง User browser กับ Server ทําใหผูใชสามารถทํางานไดโดยไมตอง รอให Client ติดตอไปยัง Server รวมถึงการดาวนโหลดและการรีเฟรชหนาเว็บเพจทั้งหมดดวย ดังนั้นผูใช สามารถใชงาน Application ไดอยางมีประสิทธิภาพมากขึ้น
          Ajax จึงไมใชเทคโนโลยีในตัวของมันเอง แตวาเปนการนําเทคโนโลยีหลายๆ ตัวมารวมกันเชน JavaScript, DHTML, XML, Css, Dom และ XMLHTTPRequest
          Ajax engine ทําหนาที่เปนตัวกลางระหวาง Client และ Server ฉะนั้นเมื่อ Client มี Request แทนที่ จะสง HTTP request ไปยัง Server โดยตรง Client จะสง JavaScript call ไปยัง Ajax engine เพื่อดาวนโหลด ขอมูลที่ User ตองการ และหาก Ajax engine ตองการขอมูลเพิ่มเติมในการตอบสนองตอ User Ajax engine จะสง Request ไปยัง Server โดยใช XML แทน

          เทคโนโลยีตาง ๆ ที่เปนสวนประกอบของ Ajax ซึ่งไดแก่
  1. HTML/XHTML เปนภาษาในการจัดแสดงขอมูล
  2. CSS เปนรูปแบบการจัดแตง XHTML
  3. Document Object Model (DOM) สําหรับ dynamic display and interaction
  4. XML เปนรูปแบบการแลกเปลี่ยนขอมูล
  5. XSLT สําหรับ แปลง XML เปน XHTML
  6. XMLHTTPRequest สําหรับ asynchronous data retrieval
  7. JavaScript เปนภาษาในการใชงาน Ajax engine 
          หลักการทํางานของ Ajax
          Ajax จะชวยลดการติดตอระหวาง Client กับ Server โดยในการดาวนโหลดหนาเว็บเพจนั้น บราวเซอรจะดาวนโหลดขอมูลจาก Ajax engine แทนการรองขอขอมูลจาก Server โดยตรง ดังนั้น Ajax จะ ทําหนาที่ทั้งการ Render สวนติดตอกับผูใชและติดตอไปยัง Server แลว Ajax engine อนุญาตใหการกระทํา ตางๆ ใน Web application เปนแบบ Asynchronous คือความเปนอิสระในการติดตอไปยัง Server นั่นเอง ดังนั้นผูใชจะไมพบกับบราวเซอรหนาวางเปลา อีกตอไป และไมตองรอการดาวนโหลดขอมูลตางๆ จาก Server

          ขอดีของ Ajax
  1. ตอบสนองตอผูใชไดอยางรวดเร็วเนื่องจากการ update แบบบางสวน
  2. ผูใชไมตองหยุดรอคอยการประมวลของ server เนื่องจากการติดตอแบบ Asynchronous
  3. รองรับกับบราวเซอรหลักๆ ที่สามารถใช JavaScript ได
  4. ทําใหการประมวลผลที่ Server มีความรวดเร็วขึ้นเนื่องจากการประมวลผลที่ Server ลดลง
  5. ไมตองทําการติดตั้ง หรือใช Plugs-in
  6. ไมยึดติดกับ Platform หรือภาษาที่ใชในการเขียนโปรแกรม
  7. เปนเ ทคโนโลยีใหมที่ไมไดเปนของนักพัฒนาเว็บแอพลิเคชั่นคนใด นั่นคือทุกคนมีสิทธิ์เขามา พัฒนาแอพลิเคชั่นตัวนี้