ข้อดี
1.ต้นทุนค่าใช้จ่ายน้อยลง
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ระบบการทำงานในลักษณะของ Outsource ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงก็มีสาเหตุหลักมาจากความสามารถในการประหยัดต้นทุนค่าใช้จ่ายของบริษัทนั่นเอง เพราะการที่ผู้ประกอบการว่าจ้างบุคคลากรที่มีความรู้ความสามารถในเรื่องดังกล่าวจากภายนอกมาเป็นผู้ดำเนินงานในเรื่องต่างๆแทนให้จะช่วยให้ท่านสามารถประหยัดงบประมาณในส่วนดังกล่าวได้เป็นอย่างดี เมื่อเทียบกับการจัดตั้งแผนกขึ้นมาใหม่อย่างเต็มรูปแบบ ที่จะต้องเสียทั้งค่าจ้างพนักงาน รวมถึงต้องมีสวัสดิการต่างๆให้ด้วย
2.ตัดตอนโครงสร้างการดูแลและบริการ
ธุรกิจขนาดกลางจะชื่นชอบประโยชน์ของการว่าจ้างในลักษณะ Outsource ในข้อนี้ค่อนข้างมาก เพราะการว่าจ้างพนักงานชั่วคราวจะช่วยลดภาระการดูแลและการบริหารงานของผู้ประกอบการได้เป็นอย่างดี เนื่องจากภาระกิจหลักที่ท่านต้องการได้ถูกสั่งและทำความเข้าใจในเรื่องของรายละเอียดกับผู้รับงานไปแล้วตั้งแต่ตอนต้นก่อนที่จะเข้ามาทำงาน ผู้ประกอบการจึงเพียงแค่คอยติดตามและประเมินผลเท่านั้น หากไม่เป็นไปตามเป้าก็สามารถว่าจ้างผู้รับงานรายอื่นให้เข้ามาทำหน้าที่แทนได้ จึงมีความได้เปรียบและยืดหยุ่นกว่าการว่าจ้างพนักงานประจำมากซึ่งท่านจะต้องคอยดูแลเอาใจใส่ในทุกขั้นตอนหากมีข้อผิดพลาดก็ต้องลงมาแก้ไขด้วยตนเองอีกต่างหาก
3.ไม่ต้องเสียเวลาฝึกพนักงาน
หากผู้ประกอบการจัดตั้งแผนกหรือดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องต่างๆด้วยตนเองทั้งหมด แน่นอนว่าผู้ประกอบการจะต้องเสียเวลาไปกับการฝึกพนักงานให้ทำงานตามที่ท่านต้องการใหม่ทั้งหมดเหมือนกับการเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่เลยทีเดียว แต่ปัญหาในเรื่องดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้นหากผู้ประกอบการใช้ระบบ Outsource ซึ่งผู้ที่มารับงานถูกจัดว่าเป็นมืออาชีพในเรื่องต่างเป็นการเฉพาะอยู่แล้ว จึงสามารถลดระยะเวลาที่ต้องเสียไปกับการทดลองและฝึกงานลงไปได้อย่างมาก ซึ่งผู้ประกอบการทุกคนต่างรู้ดีว่าเรื่องของเวลามีความสำคัญมากขนาดไหนในการทำธุรกิจ
4.ได้พนักงานมืออาชีพ
บุคคลหรือบริษัทที่มารับงานในลักษณะของ Outsource ต่อจากผู้ประกอบการจะมีลักษณะของความเป็นมืออาชีพติดตัวเป็นทุนเดิมมาอยู่แล้ว (ขึ้นอยู่กับการคัดเลือกของผู้ประกอบการด้วย) พวกเขาจะมี know – how และรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ควรทำเพื่อตอบสนองกับความต้องการทางธุรกิจของท่าน และในบางครั้งพวกเขายังอาจแนะนำเทคนิคดีๆที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของบริษัทผู้ประกอบการได้อีกด้วย
5.เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของบริษัท
การที่ผู้ประกอบการว่าจ้างพนักงานหรือบริษัทอื่นๆให้เข้ามาทำหน้าที่ดูแลในเรื่องต่างๆแทนให้นั้น หากผู้ประกอบการเลือกที่จะว่าจ้างพนักงานและบริษัทที่มีความเก่งกาจหรือความชำนาญมากเป็นพิเศษก็จะส่งผลให้ศักยภาพโดยรวมของธุรกิจเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย อันเกิดจากผลประโยชน์ที่ได้รับจากการเลือกใช้ Outsource ที่ถูกวิธีนั่นเอง จัดได้ว่าเป็นการยกระดับบริษัทไปอีกหนึ่งขั้นเลยก็ว่าได้
6.สร้างความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้า
ในหลายๆครั้งที่ผู้ประกอบการต้องออกไปเจรจาทำธุรกิจกับลูกค้า สิ่งหนึ่งที่ลูกค้ามักจะหยิบยกนำขึ้นมาใช้ในการพิจารณาก็คือในส่วนของประสิทธิภาพและเครดิตความน่าเชื่อถือของบริษัทท่าน ซึ่งหากบริษัทของผู้ประกอบการมีการร่วมงานในลักษณะของ Outsource กับบุคคลหรือบริษัทที่มีชื่อเสียงแล้วละก็จะเป็นการช่วยเติมเต็มในส่วนของทัศนคติเรื่องประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือในใจของลูกค้าที่มีต่อธุรกิจของผู้ประกอบการได้เป็นอย่างดี
ข้อเสีย
1.คุณภาพของพนักงาน Outsource ไม่เป็นไปตามที่องค์กรต้องการ : หากเป็นการจ้างในตำแหน่งงานทั่ว ๆ ไปที่ไม่กระทบต่อองค์กรโดยตรง เช่น งานรับ-ส่งเอกสาร, งานแม่บ้านทำความสะอาด ปัญหาในเรื่องนี้อาจจะยังไม่มีผลกระทบต่อองค์กรมากนัก แต่หากเป็นพนักงานที่อยู่ในสายการผลิตที่จะต้องผลิตสินค้าให้ได้คุณภาพตามมาตรฐาน ให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุดภายในเวลาที่กำหนดเพื่อส่งมอบให้ลูกค้าทันตามเวลา แล้วพบว่าพนักงาน Outsource ที่จ้างเข้ามาไม่สามารถปฏิบัติงานได้ตามเป้าหมายที่องค์กรกำหนดไว้ จะมีความเสียหายกับเนื้องานที่จะต้องมาแก้ไขกันอีก รวมถึงการจ้าง Outsource มาให้บริการกับลูกค้าที่หน้างานโดยตรงถ้าพนักงาน Outsource แสดงพฤติกรรมการบริการลูกค้าที่ไม่เหมาะสมออกไป หัวหน้างานที่รับผิดชอบในจุดที่เป็นปัญหาเหล่านั้นจะต้องมาคอยตามแก้ไขปัญหาเหล่านี้ด้วยความเหนื่อยอกเหนื่อยใจไม่น้อยเลยใช่ไหมครับ
2.อัตราการลาออกของพนักงาน Outsource สูง : นี่ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่มักจะพบอยู่เสมอ ๆ เพราะในวันนี้เขามาทำงานกับองค์กรเราเป็นพนักงาน Outsource แต่วันใดที่เขาหางานประจำได้ เขาย่อมต้องการความมั่นคงจากการเป็นพนักงานประจำในองค์กรที่มีชื่อเสียง หรือมั่นคงกว่าการเป็นพนักงาน Outsource เป็นธรรมดาครับ โดยเฉพาะคนที่มีคุณภาพหรือมีศักยภาพ หรือเป็นคนเก่ง ๆ ย่อมจะมีโอกาสได้งานประจำง่ายขึ้นไปอีกเราจึงมักจะพบอยู่เสมอ ๆ ว่าพนักงาน Outsource ที่ทำงานดี มีความรับผิดชอบสูง เมื่อเข้ามาทำงานในองค์กรของเราไม่นานจะหายหน้าหายตาไปอีกแล้ว เพราะได้งานประจำ
แม้บริษัทต้นสังกัดจะส่งคนมาทดแทน แต่ก็ต้องมาเริ่มต้นสอนงานกันใหม่อีกทุกครั้ง ผลคือทำให้งานเกิดการสะดุดไม่ต่อเนื่อง หลายครั้งที่ผมไปบรรยายในองค์กรต่าง ๆ มักจะมีคำบอกเล่าปนความเหน็ดเหนื่อยทำนองนี้จากหัวหน้างาน หรือคนที่จะต้องเป็นครูสอนงานพนักงาน Outsource อยู่บ่อย ๆ ครับ
3.การวางแผนอัตรากำลังที่ไม่เหมาะสมระหว่างพนักงานประจำกับพนักงาน Outsource : ในบางองค์กรมีการจ้างพนักงาน Outsource เข้ามามาก โดยอาจเป็นอัตราส่วนระหว่างพนักงาน Outsource ต่อพนักงานประจำ 30 : 70 หรือบางที่อาจจะเป็น 40 : 60 หรืออาจจะมากกว่านี้ ซึ่งเท่ากับว่าองค์กรนั้นกำลังฝากอนาคตไว้กับพนักงาน Outsource ซึ่งไม่ใช่พนักงานประจำ และมีความเสี่ยงต่อการควบคุมคุณภาพในการผลิต หรือการบริการให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด
4.พนักงานประจำรู้สึกว่าตนเองมีรายได้ต่ำกว่าพนักงาน Outsource : ยกตัวอย่างง่าย ๆ ว่า สมมติว่าเดิมองค์กรของเราเคยจ้างพนักงานปฏิบัติการเป็นพนักงานประจำเดือนละ 10,000 บาท แต่พอเราเปลี่ยนนโยบายมาเป็นการจ้างพนักงานปฏิบัติการแบบ Outsource เราจะต้องจ้างที่เดือนละ 12,000 ถึง 13,000 บาทเพราะบริษัทที่เป็น Outsourcing เขาจะต้องมีค่าใช้จ่ายดำเนินการต่าง ๆ เช่น ต้องดูแลเรื่องเงินเดือน, สวัสดิการ และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของพนักงาน Outsource ที่ส่งมาให้องค์กรของเรา เมื่อพนักงานของเรามาทำงานร่วมกับพนักงาน Outsource คงอดที่จะสอบถามเรื่องผลประโยชน์กันไม่ได้ และแน่นอนว่าจะต้องเกิดการเปรียบเทียบ
ข้อเสีย
1.คุณภาพของพนักงาน Outsource ไม่เป็นไปตามที่องค์กรต้องการ : หากเป็นการจ้างในตำแหน่งงานทั่ว ๆ ไปที่ไม่กระทบต่อองค์กรโดยตรง เช่น งานรับ-ส่งเอกสาร, งานแม่บ้านทำความสะอาด ปัญหาในเรื่องนี้อาจจะยังไม่มีผลกระทบต่อองค์กรมากนัก แต่หากเป็นพนักงานที่อยู่ในสายการผลิตที่จะต้องผลิตสินค้าให้ได้คุณภาพตามมาตรฐาน ให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุดภายในเวลาที่กำหนดเพื่อส่งมอบให้ลูกค้าทันตามเวลา แล้วพบว่าพนักงาน Outsource ที่จ้างเข้ามาไม่สามารถปฏิบัติงานได้ตามเป้าหมายที่องค์กรกำหนดไว้ จะมีความเสียหายกับเนื้องานที่จะต้องมาแก้ไขกันอีก รวมถึงการจ้าง Outsource มาให้บริการกับลูกค้าที่หน้างานโดยตรงถ้าพนักงาน Outsource แสดงพฤติกรรมการบริการลูกค้าที่ไม่เหมาะสมออกไป หัวหน้างานที่รับผิดชอบในจุดที่เป็นปัญหาเหล่านั้นจะต้องมาคอยตามแก้ไขปัญหาเหล่านี้ด้วยความเหนื่อยอกเหนื่อยใจไม่น้อยเลยใช่ไหมครับ
2.อัตราการลาออกของพนักงาน Outsource สูง : นี่ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่มักจะพบอยู่เสมอ ๆ เพราะในวันนี้เขามาทำงานกับองค์กรเราเป็นพนักงาน Outsource แต่วันใดที่เขาหางานประจำได้ เขาย่อมต้องการความมั่นคงจากการเป็นพนักงานประจำในองค์กรที่มีชื่อเสียง หรือมั่นคงกว่าการเป็นพนักงาน Outsource เป็นธรรมดาครับ โดยเฉพาะคนที่มีคุณภาพหรือมีศักยภาพ หรือเป็นคนเก่ง ๆ ย่อมจะมีโอกาสได้งานประจำง่ายขึ้นไปอีกเราจึงมักจะพบอยู่เสมอ ๆ ว่าพนักงาน Outsource ที่ทำงานดี มีความรับผิดชอบสูง เมื่อเข้ามาทำงานในองค์กรของเราไม่นานจะหายหน้าหายตาไปอีกแล้ว เพราะได้งานประจำ
แม้บริษัทต้นสังกัดจะส่งคนมาทดแทน แต่ก็ต้องมาเริ่มต้นสอนงานกันใหม่อีกทุกครั้ง ผลคือทำให้งานเกิดการสะดุดไม่ต่อเนื่อง หลายครั้งที่ผมไปบรรยายในองค์กรต่าง ๆ มักจะมีคำบอกเล่าปนความเหน็ดเหนื่อยทำนองนี้จากหัวหน้างาน หรือคนที่จะต้องเป็นครูสอนงานพนักงาน Outsource อยู่บ่อย ๆ ครับ
3.การวางแผนอัตรากำลังที่ไม่เหมาะสมระหว่างพนักงานประจำกับพนักงาน Outsource : ในบางองค์กรมีการจ้างพนักงาน Outsource เข้ามามาก โดยอาจเป็นอัตราส่วนระหว่างพนักงาน Outsource ต่อพนักงานประจำ 30 : 70 หรือบางที่อาจจะเป็น 40 : 60 หรืออาจจะมากกว่านี้ ซึ่งเท่ากับว่าองค์กรนั้นกำลังฝากอนาคตไว้กับพนักงาน Outsource ซึ่งไม่ใช่พนักงานประจำ และมีความเสี่ยงต่อการควบคุมคุณภาพในการผลิต หรือการบริการให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด
4.พนักงานประจำรู้สึกว่าตนเองมีรายได้ต่ำกว่าพนักงาน Outsource : ยกตัวอย่างง่าย ๆ ว่า สมมติว่าเดิมองค์กรของเราเคยจ้างพนักงานปฏิบัติการเป็นพนักงานประจำเดือนละ 10,000 บาท แต่พอเราเปลี่ยนนโยบายมาเป็นการจ้างพนักงานปฏิบัติการแบบ Outsource เราจะต้องจ้างที่เดือนละ 12,000 ถึง 13,000 บาทเพราะบริษัทที่เป็น Outsourcing เขาจะต้องมีค่าใช้จ่ายดำเนินการต่าง ๆ เช่น ต้องดูแลเรื่องเงินเดือน, สวัสดิการ และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของพนักงาน Outsource ที่ส่งมาให้องค์กรของเรา เมื่อพนักงานของเรามาทำงานร่วมกับพนักงาน Outsource คงอดที่จะสอบถามเรื่องผลประโยชน์กันไม่ได้ และแน่นอนว่าจะต้องเกิดการเปรียบเทียบ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น